เช้าวันที่ห้าของการเดินทางกับอาหารเช้าที่โรงแรม ก่อนจะเช็คเอ๊าท์และลากกระเป๋าไปยังสถานีรถไฟ Taipei Main เพื่อไปทำการโหลดกระเป๋าและทำใบผ่านขึ้นเครื่อง (Boarding Pass) ที่บริเวณ In-town Check-in ซึ่งมีความสะดวกมากๆ สำหรับนักท่องเที่ยว ซึ่งค่ำนี้กว่าจะบินกลับบ้าน ก็ราว 3 ทุ่ม ดังนั้น พอเราทำการโหลดกระเป๋า เราก็เดินตัวเบา เที่ยวต่อได้อีกตลอดทั้งวัน
เหตุผลสำคัญที่เลือกบิน EVA AIR เพราะทริปนี้ผมลางานแค่ 3 วัน แต่ได้ท่องเที่ยวไต้หวันได้ 5 วันเต็ม ซึ่งเวลาดีทั้งขาไปและขากลับ, มีบริการ In-town Check-in, มีบริการอาหารบนเครื่องบิน ทำให้รู้สึกว่า จ่ายแพงกว่า แต่ก็คุ้มค่า ซึ่งการทำ In-town Check-in นั้นง่ายมากๆ เพราะสามารถกดป้อนข้อมูลเที่ยวบินและสแกนเล่มพาสปอร์ต จากนั้นก็ทำตามขั้นตอน ทั้งพิมพ์ Tag ติดกระเป๋า, วางกระเป๋าบนเครื่อง, รับใบยืนยันการโหลดกระเป๋า, รับ Boarding Pass และเดินไปดูที่จอภาพว่า กระเป๋าของเราผ่านการสแกนเรียบร้อย ก็สามารถเดินออกจากบริเวณนั้นได้ สะดวก รวดเร็ว ลดขั้นตอนไปได้มาก ซึ่งตอนเย็นเราก็แค่นั่งรถไฟฟ้าไปสนามบิน และผ่านขั้นตอน ต.ม. ก็รอขึ้นเครื่องกลับบ้าน
จากนั้น เราก็เริ่มโปรแกรมท่องเที่ยวกันต่อ สำหรับวันนี้โปรแกรมสบายๆ เพราะเที่ยวเฉพาะในตัวเมืองไทเปเท่านั้น เราก็ใช้ Easy Card ใบเดิมแตะเพื่อนั่งรถไฟฟ้า MRT จากสถานี Taipei Main Station (BL12) ไปยังสถานี Longshan Station (BL10) พอมาถึงก็มองหาป้ายทางออก Exit ที่ตรงไปยัง วัดหลงซาน 艋舺龍山寺 (Lungshan Temple)
วัดหลงซาน 艋舺龍山寺 (Lungshan Temple) หรือ เหมงเจีย หลงซาน (Mengjia Longshan) เป็นหนึ่งในวัดที่เก่าแก่และมีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองไทเป ตั้งอยู่ในแถบย่านเมืองเก่า มีอายุเกือบ 300 ร้อยปีแล้ว สร้างขึ้นโดยคนจีนชาวฝูเจี๊ยน ช่วงปี ค.ศ. 1738 เพื่อเป็นสถานที่สักการะบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อของชาวจีน มีรูปแบบทางด้านสถาปัตยกรรมคล้ายกับวัดพุทธของจีนแต่มีลูกผสมของความเป็นไต้หวันเข้าไปด้วย จนบางคนเรียกกันว่าเป็นวัดสไตล์ไต้หวัน ทำให้ที่นี่เป็นอีกหนึ่งแหล่งท่องเที่ยวไม่ควรพลาดของเมืองไทเป วิธีการเดินเข้า ให้เข้าทางด้านขวามือซึ่งเป็นประตูมังกร และให้ออกทางประตูซ้ายมือซึ่งเป็นประตูเสือแต่เดิมสร้างขึ้นเพื่อสักการะเจ้าแม่กวนอิม (Guanyin) เป็นหลัก แต่ก็จะมีเทพเจ้าองค์อื่นๆ ตามความเชื่อของชาวจีนอีกมากกว่า 100 องค์ที่ด้านในโดยมาจากทั้งศาสนาพุทธ เต๋า และขงจื๋อ เช่น "เจ้าแม่ทับทิม" ที่เกี่ยวข้องกับการเดินทาง, "เทพเจ้ากวนอู" เรื่องความซื้อสัตย์และหน้าที่การงาน และ "เทพเย่ว์เหล่า หรือ ผู้เฒ่าจันทรา" ที่เชื่อกันว่าเป็นเทพผู้ผูกด้ายแดงให้สมหวังด้านความรัก แต่ด้วยความตั้งใจจะมาสักการะเจ้าแม่กวนอิม ก็ถือโอกาสสักการะองค์อื่นๆ ไปด้วย รวมทั้งได้ทำบุญและรับเครื่องรางกลับมาด้วยหนึ่งชิ้น ถือเป็นที่ระลึกถึงวัดแห่งนี้อีกด้วย
หลังจากใช้เวลาพอสมควร ก็เดินออกมาทางซ้ายมือ เพื่อตรงมายัง ย่านประวัติศาสตร์ปัวผีเหลียว 剝皮寮歷史街區 (Bopiliao Historical Block) ซึ่งพลาดไม่ได้หากมาแถวบริเวณนี้ เป็นถนนสายสั้นๆ ที่เต็มไปด้วยอาคารอิฐแดงเก่าแก่คล้ายกับโกดังเก็บของในยุคศตวรรษที่ 18-19 ที่ได้รับการอนุรักษ์เอาไว้อย่างดี มีการรีโนเวทและเปลี่ยนให้เป็นย่านท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ โดยมีการสอดแทรกงานศิลปะลงไปด้วย จนกลายเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวฮิปๆ ของเมืองไทเป
ย่านประวัติศาสตร์ปัวผีเหลียว 剝皮寮歷史街區 (Bopiliao Historical Block) มีอาคารและร้านค้าเก่าแก่แบบดั้งเดิม ย้อนไปตั้งแต่สมัยราชวงศ์ฉิง (Qing dynasty, 1683 – 1895) ไปจนถึงอาคารและร้านค้าที่สร้างในยุคที่ตกอยู่ภายในอาณานิคมของจักรวรรดิญี่ปุ่น (1895–1945) ตั้งอยู่ใกล้กับวัดหลงซาน (Lonhshan Temple) ที่เป็นวัดชื่อดังที่สุดแห่งหนึ่งของไทเป
แต่ทว่าวันนี้ซึ่งเป็นวันจันทร์ซึ่ง ปัวผีเหลียว ปิด แต่ก็เจอกับกองถ่ายภาพยนตร์ของไต้หวัน ซึ่งจัดฉากและนักแสดงแต่งกายแบบย้อนยุค ก็เลยรู้สึกว่า โชคดีจัง ได้เก็บภาพบรรยากาศคล้ายว่าเรากำลังกลับไปซักประมาณ 50 ปีที่แล้ว เพิ่มสีสันและบรรยากาศการท่องเที่ยวย่านเมืองเก่าแบบนี้ได้อย่างดี โดยบังเอิญซะด้วย
เมื่อเดินข้ามถนนมา ก็เจอกับตลาดสด จึงถือโอกาสไปเดินเที่ยว สัมผัสกับบรรยากาศตลาดสดดูบ้าง มีอาหารหลากหลาย และบางอย่างก็ไม่เคยเห็นมาก่อน แต่แม่ค้าพ่อค้าก็ยิ้มแย้มและพยายามอธิบายให้เราฟัง จึงเป็นเสน่ห์ของการท่องเที่ยวที่จะได้พบเจออะไรใหม่ๆ เสมอ และได้พบเจอผู้คนหลากหลายมอบความรู้สึกดีๆ ให้กัน
หลังจากนั้น เราก็นั่งรถไฟฟ้า MRT จากสถานี BL10 Longshan Temple เพื่อมา BL11 Ximen เปลี่ยนสายสีเขียวที่สถานีนี้ไปยัง G10 Chiang Kai-Shek Memorial Hall เพื่อมาเที่ยวยัง อนุสรณ์สถานเจียงไคเช็ค 中正紀念堂 (Chiang Kai-Shek Memorial Hall) ถือเป็นหนึ่งสัญลักษณ์ของประเทศไต้หวัน และสถานที่ท่องเที่ยวหลักที่ต้องมาของเมืองไทเป สร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1976 เพื่อเป็นการรำลึกและเทิดทูนอดีตประธานาธิบดี เจียง ไคเชก
เป็นอาคารสีขาวทั้ง 4 ด้านมีหลังคาทรง 8 เหลี่ยมสีน้ำเงินแบบสถาปัตยกรรมแบบจีน ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ตรงกลางของจตุรัสเสรีภาพ (Freedom Square) มีบันไดด้านหน้า 89 ขั้นเท่ากับอายุของท่านประธานาธิบดี ซึ่งอยู่ระหว่างการซ่อมแซมภายนอกพอดี แต่สามารถเข้าชมภายในในตามปกติ และก็สามารถเดินเที่ยวโดยรอบภายนอกที่มีอาคารขนาดใหญ่ ซุ้มประตู และสวนสวยๆ โดยรอบ จึงถือโอกาสเดินเก็บภาพต่างๆ โดยรอบ ก่อนจะไปแวะดื่มชานมไข่มุกจากร้านชุนสุ่ยถาง 春水堂 (Chun Shui Tang) ซึ่งเปิดสาขาที่ชั้นล่างของอาคารเสาสีแดง หลังคาสีส้มหลังนั้น ก่อนจะเดินไปชมภายในอาคารอนุสรณ์สถานเจียงไคเช็ค
มองดูเวลาเกือบจะ 14:00 น ซึ่งจะขอไปดูการเดินสวนสนามของทหาร ที่หน้ารูปปั้นของท่าน จึงรีบเดินกึ่งวิ่งมาเพื่อให้ทันชม ซึ่งมีทุกๆ ต้นชั่วโมง พอมาถึงก็รีบเดินขึ้นบันไตไปชั้นบนทันที
ด้วยความโชคดี ทหารบอกให้เรายืนรอตรงนี้สักครู่ ไม่นานนักก็มองเห็นทหารที่เดินสวนสนาม และเดินออกมาผ่านหน้าเราไม่ถึงหนึ่งเมตรก่อนเข้าลิฟท์ไป ซึ่งถ้าไม่เลือกเดินขึ้นบันได แต่ยืนรอลิฟท์ชั้นล่าง คงไม่ได้เห็นแน่ๆ เพราะลิฟท์ถูกล๊อคค้างไว้นั่นเอง
จากนั้น ก็เดินเข้าไปเก็บภาพในโถงด้านใน ซึ่งมีมีรูปปั้นของท่านทำจากทองสัมฤทธิ์ของท่านในท่านั่งขนาดใหญ่ที่มีใบหน้ายิ้มแย้มต่างจากรูปปั้นของท่านในที่อื่นๆ ซึ่งจะมีทหารยืนเฝ้าไว้ 2 นายตลอดเวลา และที่กำแพงด้านในหลังจะมีข้อความปรัชญาทางการเมืองการปกครองของท่านอยู่ 3 คำ คือ จริยธรรม ประชาธิปไตย และวิทยาศาสตร์
ถือโอกาสเดินเก็บภาพไปเรื่อยๆ ในแต่ละชั้น และไม่ลืมนำสมุดสะสมตราประทับ (Stamp) เพื่อประทับเป็นที่ระลึกไว้ ก่อนจะออกจากสถานที่แห่งนี้ เพื่อกลับไปทานข้าวกลางวัน แต่ทว่าลากยาวมาเป็นบ่าย 4 โมง เพราะมีภาพน่องไก่ติดตาที่ร้านแถวตลาดแถวย่านประวัติศาสตร์ปัวผีเหลียว 剝皮寮歷史街區 (Bopiliao Historical Block) จึงย้อนกลับไปหม่ำน่องไก่ให้หนำใจ
ถือว่าโปรแกรมของทริปนี้ก็ครบสมบูรณ์ตามที่ได้ออกแบบไว้ ก็จัดแจงกลับมาที่สถานี Taipei Main เพื่อมานั่งรถไฟด่วน (Taoyuan Airport MRT) ใช้เวลาราว 35 นาที ไปยังสนามบิน เพื่อกลับบ้านในเที่ยวบิน EVA 205 ซึ่งออกในเวลา 21:10 น และกลับถึงสนามบินสุวรรณภูมิในเวลา 00:05 น.
จบทริปแรกที่มีโอกาสไปเที่ยวไต้หวัน เก็บเกี่ยวความประทับใจในหลายๆ อย่าง เกินความคาดหมาย เพราะเจออะไรๆ ที่หลากหลาย, อาหารอร่อย, ธรรมชาติที่ัสวยงาม, ผู้คนที่เป็นมิตร และค่าใช้จ่ายก็ไม่สูง จึงทำให้หลงรัก "ไต้หวัน" เข้าแล้ว ซึ่งในสัปดาห์หน้า ต้นเดือนมีนาคม 2561 ก็จะเดินทางไปไต้หวันอีก แต่ครั้งหน้าน่าจะเป็น Taiwan 2018#2 เที่ยวไต้หวันในแบบฉบับ "เที่ยวตามใจเขา" เพราะเราไม่ได้ออกแบบโปรแกรมเที่ยว ต้องตามคนส่วนใหญ่ ไปไหน ไปกัน แล้วพบกันใหม่นะ
จบบริบูรณ์
Camera : Samsung Galaxy S6, S7