เมื่อเช้าวานนี้ มีสายฝนโปรยปรายคลายร้อนในกรุงเทพฯ ไปได้มาก ตกเย็นเลยวางแผนมาเดินเล่นแถวถนนพระอาทิตย์ซักหน่อย หลังจากที่ไม่ได้มาเดินเกือบปี เพราะเป็นถนนที่นอกจากจะมีชาวต่างชาติมาเที่ยวกันเป็นจำนวนมาก และได้เห็นไลฟ์สไตล์ปูผ้านอนเล่นนั่งอ่านหนังสือของคนยุโรป
ซึ่งวันไหนฝนตกขอรับรองว่าหัวค่ำ ท้องฟ้าจะสวยแบบนี้ ซึ่งได้สังเกตมาบ่อยครั้งแล้วตั้งแต่ชอบและสนุกกับการถ่ายภาพ
ถือโอกาสเดินไปชมต้นลำพู ต้นสุดท้ายของบางลำพู ซึ่งได้ชื่อเรียกนี้เพราะอดีตมีต้นลำพูอยู่จำนวนมาก พร้อมกับหิ่งห้อย แต่ปัจจุบันก็คงเหลือแค่ต้นนี้ต้นเดียว
ด้วยความดีใจที่มีการบูรณะตึกเก่าหลังนี้ ซึ่งเมื่อปีที่แล้วยังเป็นตึกร้างรอวันผุพัง ทั้งที่เคยเป็นคฤหาสน์สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๕ ซึ่งขณะนั้นมีวิศวกรและสถาปนิกจากอิตาลีที่มีชื่อเสียง Galileo Chiniและ Carlo Rigoli เข้ามาออกแบบสถาปัตยกรรมจำนวนมากอย่าง พระที่นั่งอนันตสมาคม รวมไปถึงคฤหาสน์หลังนี้ในนาม "บ้านบางยี่ขัน" เวลาผ่านไป อีกทั้งยังผ่านช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 จึงทำให้สถานที่นี้ถูกใช้งานอย่างอื่น และปล่อยให้ทรุดโทรมไปตามกาลเวลา แต่ก็ดีใจที่ถูกปรับปรุงใหม่แบบนี้
ต้องขอกล่าวถึง "ป้อมมหากาฬ" สักเล็กน้อย ป้อมแห่งนี้สร้างขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ในปี พ.ศ. ๒๓๒๖ เป็นป้อม 1 ใน 14 ป้อมที่โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเพื่อป้องกันรักษาพระนคร มีลักษณะรูปแปดเหลี่ยม มีกำแพงล้อมรอบ 2 ชั้น เป็นป้อมประจำพระนครด้านตะวันออก ปัจจุบันป้อมมหากาฬเป็น 1 ใน 2 ป้อมที่ยังคงเหลืออยู่ในกรุงเทพมหานคร และอีกป้อมหนึ่งคือ "ป้อมพระสุเมร"
ในบริเวณป้อมมหากาฬ ยังทำเป็นสวนสาธารณะเล็กๆ มีชื่อว่า "สวนสันติชัยปราการ" สวนแห่งนี้จัดสร้างขึ้นเนื่องในมหามงคลสมัย เฉลิมพระชนมพรรษาครบ 6 รอบของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๒๔ และยังเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ เต้นออกกำลังกาย รวมไปถึง B Boy ซึ่งขอชื่นชมน้องๆ เหล่านี้ถึงความกล้า, ความคิดสร้างสรรค์และความตั้งใจฝึกฝนจึงจะทำได้
ในวันนี้จอดได้สบายและถนนโล่งมาก เลยมาจอดตรงข้ามป้อมมหากาฬและตั้งใจจะมาหม่ำอาหารมุสลิมร้านโปรดซักหน่อย ซึ่งรู้จักร้านนี้มาประมาณ6 ปีแล้ว ครั้งที่มาติดต่องานย่านนี้ทุกสัปดาห์ ทำให้ต้องเดินชิมเปลี่ยนร้านอาหารไปเรื่อยๆ และก็มาเจอเข้ากับร้าน "โรตี มะตะบะ"
แต่มักจะเรียกกันว่า "ร้านโรตีหินอ่อน" เพราะเขาจะนวดแป้งบนหินอ่อนอย่างที่เห็น และร้านนี้เปิดมาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๘๖
ไม่ต้องเปิดเมนูเลย เพราะมาทีไรก็สั่งแบบนี้ โดยเฉพาะวันนี้หิวมาก ... "จัดหนักมาเลย" เริ่มจาก ข้าวหมกแพะ, สลัดแขก, แกงเขียวหวานไก่, โรตีเปล่า 2 แผ่น และ ชามะนาว 1 แก้ว
ขอบอกว่า ใครที่กลัวแพะเหม็นสาบละก้อ ต้องบอกว่าไม่พบที่ร้านนี้อย่างแน่นอน เพราะมาทานกี่ครั้งก็ยังไม่เจอ แต่ยอมรับว่าครั้งนี้รสชาดของแกงเขียงหวานเปลี่ยนไป และได้บอกกับคนเก็บตังส์ในร้านไปแล้วว่า วันนี้ออกรสหวานมากไปหน่อย ซึ่งไม่เหมือนกับที่ทานประจำ
ออกจากร้านมา ท้องฟ้ายังได้ใจอยู่ ต้องเดินไปหยิบขาตั้งกล้องในรถ ไปเก็บภาพในสวนสันติไชยปราการกันต่อ และถือโอกาสเดินย่อยไปด้วย หลังจาก "จัดหนัก" มาแล้ว
แสงสุดท้ายในวันนี้สวยดี ชอบท้องฟ้าสีแดงแบบนี้ แต่ไม่ชอบสีแดงบนเสื้อ
มองไปยังคฤหาสน์หลังเดิม ทำให้นึกย้อนไปถึงปี พ.ศ. ๒๔๖๖ เมื่อตอนสร้างขึ้นใหม่ๆ ตามสไตล์ ชิโน-อิตาเลียน (Chino Italian) ซึ่งวันนี้ได้ถูกเนรมิตเป็นโรงแรมหรูไปซะแล้ว ยังมีอีกหลังหนึ่งที่เคยพาไปเยี่ยมชมมาแล้วในเอนทรี (+) "พาไปชมสถาปัตยกรรมแบบอิตาลีอายุเกือบ ๑๒๐ ปี ใจกลางกรุงเทพฯ ... โดยไม่ต้องไปถึงยุโรป"และยังรอให้มีการบูรณะขึ้นใหม่ แต่ยังอยากให้คงสภาพเมื่อกว่า 120 ปีที่แล้วไว้มากที่สุด
เป็นอีกวันหนึ่งที่รู้สึกว่า เมืองไทยก็มีอะไรสวยงาม ซึ่งเราอาจมองข้ามไปบ้าง แต่ถ้าเราช่วยกันรักษาความสงบ มาช่วยกันสร้างบ้านเมืองให้น่าอยู่ ดูเหตุและผล รับฟังทุกด้านและนำมาคิดแค่ทุกคนมุ่งทำงานสุจริต ไม่คิดรอเงินที่ได้มาง่ายก็มีส่วนช่วยประเทศชาติได้แล้ว