เมื่อสุดสัปดาห์ที่แล้ว ได้มีโอกาสไปทำหน้าที่เป็นนักรีวิวโรงแรมบูติกอีกครั้ง ซึ่งในปีนี้ได้รับรายชื่อโรงแรมที่ผ่านเข้ารอบมา 120 แห่ง ก็ตกลงใจเลือก "พระยาพาลาซโซ" เป็นแห่งแรกที่อยากไปรีวิวโดยไม่ลังเล ด้วยความที่ชื่นชอบสถาปัตยกรรมเก่าในกรุงเทพฯ ... เคยนั่งเรือผ่าน "บ้านบางยี่ขัน" ครั้งที่ยังไม่ได้บูรณะและแอบหวังว่าจะได้รับการปรับปรุงสักวัน ... และในปีที่แล้วได้ชมรายการ "สุริวิภา" มาเที่ยวชมโรงแรมแห่งนี้ที่เพิ่งเปิดให้บริการ ทำให้อยากมาสัมผัสสถานที่แห่งนี้นานแล้วและเคยเขียนไว้ในบล๊อก (+) อ้างถึงเอนทรี พาไปกินข้าวหมกแพะ และแวะเที่ยวป้อมมหากาฬ
หลังจากได้นัดกับทางโรงแรมว่าจะเช็คอิน เพื่อมาเก็บภาพบรรยากาศประมาณ 15:00 น. ทางเจ้าหน้าที่ของโรงแรมแจ้งว่า จะส่งเรือมารับที่ ท่าพระอาทิตย์ ซึ่งในตอนแรกเข้าใจว่า สามารถนำรถมาจอดที่โรงแรม แต่ได้รับแจ้งว่าต้องจอดรถไว้ที่ลานจอดรถของวัดที่อยู่เยื้องๆ และให้เรือมารับข้ามมาที่โรงแรมจะสะดวกมาก
เมื่อมองดูจากภาพถ่ายจากดาวเทียม ก็ถึงบางอ้อ เพราะจะมีบ้านชุมชมหนาแน่นด้านหลังของโรงแรม มีแค่ทางเดินเท้าเล็กๆ ทำให้ไม่สามารถเข้าถึงด้วยรถยนต์ ... ก็ดีเหมือนกัน "โรแมนติก" ตั้งแต่เริ่มต้นเลยแบบนี้ซิเรา
ระดับน้ำสูงมาก คงเพราะไหลหลากมาจากทางเหนือ แต่ก็ไม่ต้องกลัว เพราะทางโรงแรมส่งเรือขนาดใหญ่ชื่อ "พระยาพาลาซโซ 2" มารับ ซึ่งเป็นบริการรับ-ส่ง แขกของโรงแรมตลอดเวลาอยู่แล้ว
เรือแล่นมาใกล้ท่าเรือเพื่อเข้าสู่โรงแรม ซึ่งในวันนี้เราจะพักค้างคืน และรับประทานอาหารค่ำ โดยจะพาชิมเมนูแนะนำต่างๆ รวมทั้งพาเยี่ยมชมห้องพัก และห้องต่างๆ ... ตามมานะ ฉันจะพาไป
เดินขึ้นชั้น 2 ไปทางปีกขวา มายังห้องพักหมายเลข 234 ซึ่งเป็นห้อง Suites
ด้วยการตกแต่งแบบย้อนยุค ยิ่งทำให้แขกผู้มาเยือนได้ย้อนกาลเวลาไปด้วย และการเลือกใช้โทนสีเหลืองมัสตาร์ด ตัดกับผ้าสีม่วงแดงเลือดหมู ทำให้เข้ากับเฟอร์นิเจอร์ไม้สีโอ๊คได้อย่างลงตัว
นัดหมายกับเจ้าหน้าที่โรงแรม ให้ช่วยพาเที่ยวชมห้องต่างๆ เพื่อบันทึกภาพมุมต่างๆ ซึ่งโรงแรมแห่งนี้มีห้องพักเพียง 17 ห้อง เท่านั้น
มาชมห้อง Chao Phraya Suites กัน เลือกใช้โทนสีชมพูบ่งบอกถึงความรัก หวานชื่น ซึ่งสถานที่แห่งนี้เดิมมีชื่อว่า "บ้านบางยี่ขัน" สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2466 โดย "อำมาตย์เอก พระยาชลภูมิพานิช" ขุนนางและคหบดีเชื้อสายจีนผู้มั่งคั่ง สมรสกับ "คุณหญิงส่วน" (สกุลเดิม อุทกภาชน์) ภายหลังสมรสแล้วก็ได้ครองคู่อยู่อาศัยอย่างมีความสุขในบ้านหลังนี้ โดยมีพยานรักเป็นบุตรธิดารวม 10 คน
หลังจากที่บ้านสไตล์พาลาดิโอหลังนี้ ถูกปล่อยทิ้งรกร้างริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ไม่ว่าใครสัญจรผ่านไปมา ย่อมอดรู้สึกเสียดายไม่ได้ หนึ่งในนั้น คือ "ผศ. วิชัย พิทักษ์วรรัตน์" สถาปนิกหนุ่มผู้มีความรักในสถาปัตยกรรม เริ่มโครงการฟื้นคืนชีวิตให้กับบ้านหลังนี้ ซึ่งไม่ง่ายเลย ที่จะคงลักษณะเดิมของอาคารไว้เพราะทรุดโทรมไปมาก วัสดุก่อสร้างและสีที่ใช้ที่ต้องให้เหมือนหรือใกล้เคียงของเดิมมากที่สุด
ยังไม่นับรวมถึงอุปสรรคในการเดินทาง การขนส่งวัสดุก่อสร้าง เครื่องไม้เครื่องมือ รวมถึงต้นไม้ใหญ่ ที่ต้องใช้การขนส่งทางเรือเช่นในอดีต
แต่ความเหนื่อยยากเหล่านี้ มิอาจเทียบได้กับความสุขในจิตใจของสถาปนิกหนุ่ม ช่างฝีมือ และเหล่าคนงาน ที่มองดูบ้านหลังงามค่อยๆ หวนคืนมีชีวิตอีกครั้ง จนกระทั่งแล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2552
พร้อมด้วยชื่อใหม่ว่า "พระยา พาลาซโซ" ที่มีความหมายถึง "คฤหาสน์แห่งพระยาชลภูมิพานิช" อันเป็นผลงานทางสถาปัตยกรรมชิ้นสุดท้ายที่ ผศ. วิชัย ฝากไว้ ก่อนจะหลับไหลไปตลอดกาลในปีเดียวกัน ... มาถึงวันนี้โรงแรมบูติกแห่งนี้ ได้ตกแต่งสถานที่โดยมีกลิ่นอายความเป็น ไทย-จีน-ฝรั่ง ผสานกันอย่างลงตัว
มาชมห้องแบบ Superior กันต่อ ด้วยความรู้สึกว่า การมาพักผ่อนที่โรงแรมบูติกแห่งนี้ เหมือนพักอาศัยอยู่ในบ้านมากกว่า ด้วยความรู้สึกอบอุ่น ความเงียบสงบ และรูปแบบการตกแต่งที่ดูกว้างขวาง
ห้องแบบ Deluxe และในทุกห้อง จะมีการใช้กระจกสี ซึ่งไม่ได้รับแสงแดดในช่วงเช้า จะมีแสงสีต่างๆ พาดไปบนกำแพง ดูสวยดี
อดไม่ได้ที่จะเก็บบันทึกภาพมุมต่างๆ ระหว่างห้องพัก มีการใส่ลูกเล่นศิลปะ ไม่ว่าจะเป็น โมเสค, โคมไฟ, มุมนั่งเล่น และที่ชอบมากคือ ตะแกรงฝาท่อระบายน้ำฝน ที่มีลวดลายสวยงามมาก
ห้องที่สวยงามอีกห้อง คือ "ห้องร่มโพธิ์" ซึ่งไว้สำหรับจัดงานพิธีการต่างๆ ชื่นชอบโคมระย้า (Chandelier) ใบโพธิ์สีทอง สวยงามมาก พื้นไม้เก่าทั้งแผ่นยาวกว่า 4 เมตร และลายฉลุไม้ที่อ่อนช้อย
หลังจากเที่ยวชมห้องพักครบทั้ง 4 รูปแบบแล้ว ก็ขอมานั่งชมสวนและชมวิวแม่น้ำเจ้าพระยากันบ้าง
สั่งเครื่องดื่มเย็นๆ มาจิบ แบบชิลชิล ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ยามแดดร่มลงตก
แสงทองสาดส่องป้อมพระสุเมรุ และสวนสันติชัยปราการ พร้อมละอองฝนปรอยๆ
ด้วยความโชคดี รุ้งกินน้ำตัวอ้วน ก็เริ่มการแสดง ยิ่งทำให้การชมบรรยากาศยามเย็นในวันนี้สมบูรณ์แบบ
แสงยามโพล้เพล้ ถูกใจช่างภาพทุกคน ในการเก็บบรรยากาศและสถาปัตยกรรม ก่อนแสงจะมืดมิด
บริเวณ Pool Bar ที่เรานั่งจิบบรรยากาศยามเย็น สนุกกับการอับเดท facebook ซึ่งทางโรงแรมมีบริการ Free Wifi ในทุกจุดทั่วโรงแรม ทำให้ไม่พลาดการสื่อสารในสังคมออนไลน์ ถือเป็นปัจจัยสำคัญของทุกโรงแรมไปซะแล้วในยุคนี้
ไม่อยากให้แสงสุดท้ายของวันจางหายไป แต่เป็นนาฬิกาธรรมชาติ ที่บอกให้เรารู้ว่า ได้เวลาอาหารค่ำกันแล้ว
เดินกลับไปที่ห้องพัก เตรียมตัวก่อนไปรับประทานอาหารค่ำในเวลา 1 ทุ่มตรง
บริเวณห้องอาหารชั้นล่าง และอยู่ติดกับห้องสมุดขนาดเล็ก ไว้สำหรับนั่งอ่านหนังสือก่อนหรือหลังรับประทานอาหาร ถือเป็นอาหารสมองเสริมจากอาหารที่อิ่มท้อง
เมนูอาหารไทยในวันนี้ รสชาดถูกปาก กลมกล่อม ไม่เผ็ดจัด สังเกตว่ามีแขกในโต๊ะอื่นๆ ที่มารับประทานอาหารค่ำ มีทั้งแขกคนไทย และแขกต่างประเทศ ซึ่งต้องลงเรือของทางโรงแรมไปรับ ซึ่งได้กินลม ชมสะพานพระราม ๘ สร้างความประทับใจก่อนมาถึง และเรือกลับไปส่งยังท่าเรือที่อยู่ตรงข้าม
หลังจากเต็มอิ่มจากอาหารมื้อค่ำ ก็มาเดินย่อยสูดอากาศยามค่ำคืนภายนอกซัก 10 นาที มองชมสะพานพระราม ๘ ที่อยู่ไม่ไกลนัก
กลับมายังห้องนอนบนชั้น 2 แม่บ้านได้จัดเตรียมดอกไม้พร้อมบทกลอนดีๆ เพื่อให้แขกที่มาพักนอนหลับฝันดี และสามารถมองเห็นยอดสะพานพระราม ๘ ลอดผ่านหน้าต่างของห้องได้อีกด้วย ซึ่งได้ตั้งโทรศัพท์มือถือให้ปลุกตอนเช้า เพื่อเก็บภาพบรรยากาศแสงแรกของวันใหม่
ก็ไม่ผิดหวังเลย ได้ชมแสงสวยๆ ยามเช้า และเสียงนกร้อง เพิ่มอรรถรสในวันพักผ่อนอย่างมีความสุข เหมือนได้ย้อนกลับไปในอดีต เพราะไม่ได้ยินเสียงเครื่องยนต์ของเรือ หรือรถยนต์
ซึ่งเช้าวันอาทิตย์นี้ อากาศสดใส ถ่ายรูปได้อย่างประทับใจ
แสงแดดอุ่นๆ ลมพัดเอื่อยๆ
ทำให้เพลินในการเก็บบันทึกภาพในมุมต่างๆ สมกับความเป็นบูติกที่ใครมาเยือน จะอดไม่ได้แม้จะขอถ่ายภาพจากโทรศัพท์มือถือ
โดยเฉพาะบางมุม นึกว่ากำลังเดินเที่ยวในยุโรปด้วยซ้ำไป
ประทับใจในสถาปัตยกรรมแบบ พาลาดิโอ ซึ่งไม่น่าเชื่อว่ามีมายาวนานเกือบร้อยปี ณ ที่แห่งนี้ ตั้งแต่รัชสมัย "พระพุทธเจ้าหลวง" รัชกาลที่ ๕ ยุคสมัยที่ประเทศไทยมีความเจริญรุดหน้าในด้านต่างๆ อย่างรวดเร็ว
ได้เวลาอาหารเช้า ที่เราเพลิดเพลินไปกับอาหาร และอ่านเรื่องราวพร้อมภาพประกอบ เกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้ เป็นแกลลอรี่ไปด้วยในตัว ซึ่งขอชื่นชมในจุดนี้ ที่ทำให้ผู้มาเยือนได้รับทราบถึงประวัติความเป็นมา ในครั้งอดีตถึงปัจจุบัน ช่วยให้เกิดความทรงจำและประทับใจอีกทางหนึ่ง
เป็นการตัดสินใจที่ไม่พลาด ในการที่ได้มารีวิวสถานที่แห่งนี้อย่างที่ตั้งใจ ซึ่งจะหาโอกาสกลับมาอีก แม้ไม่ได้มาพักแต่ก็มารับประทานอาหาร ถือได้ว่าเป็นโรงแรมบูติกที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน และน่าสนใจอยู่ไม่น้อย และหวังให้มีการอนุรักษ์สถาปัตยกรรมเก่าๆ อีกหลายจุดในกรุงเทพฯ หรือในจังหวัดอื่นๆ ให้กลับฟื้นคืนชีวิตอีกครั้ง ดังเช่น "พระยาพาลาซโซ" แห่งนี้
เอนทรีอื่นที่รีวิวในโครงการ Thailand Boutique Awards 2010/2011