ด้วยความหลงไหลในเสน่ห์เมืองเชียงใหม่ ที่มีความหลากหลายในการท่องเที่ยวทั้งวัฒนธรรมเก่าแก่ วัดวาอาราม ธรรมชาติสวยงาม รวมทั้งสถานที่ท่องเที่ยวที่แปลกแตกต่าง จึงทำให้แต่ละปีที่กลับมาเยี่ยมเยือนเชียงใหม่ จะมองหาสถานที่ท่องเที่ยวใหม่ๆ ที่ยังไม่เคยไป มาเติมในทริปเสมอ
มาตามหาออนเซ็น เพื่อมาแช่น้ำพุร้อนแบบธรรมชาติ ซึ่งไม่ไกลจากตัวเมืองมากนัก อยู่ใน อ.สะเมิง นี่เอง
อำเภอที่ได้ชื่อว่า เป็นแหล่งปลูกสตรอเบอรี่ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ
เดินทางด้วยเส้นทางขึ้นลงเขาและเส้นทางไม่ใหญ่นัก แต่สนุกในการขับขี่ด้วยความระมัดระวัง แนะนำว่าควรมีทักษะในการขับรถขึ้นเขาบ้าง เพราะบางช่วงเส้นทางไม่ดีนัก ซึ่งเส้นทางนี้ห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่ ประมาณ 40 กิโลเมตร
ด้วยบรรยากาศแบบรีสอร์ตท่ามกลางหุบเขา บรรยากาศเงียบสงบเหมาะแก่การพักผ่อน จะมองเห็นบ้านเป็นหลังๆ นั้น คือ ห้องแช่ออนเซ็น นั่นเอง
มีทั้งแบบห้องส่วนตัว หรือแบบห้องแช่รวมขนาดใหญ่เป็นหมู่คณะ แต่ถ้าจะแช่ตามสไตล์ออนเซ็น ต้องเลือกแบบห้องส่วนตัว น้ำอุ่นกำลังดีสบายตัว พร้อมกลิ่นอ่อนๆ ของกำมะถันและแร่ธาตุ
สำหรับห้องแช่รวมขนาดใหญ่ ไม่สามารถนำภาพมาให้ชม เพราะมีคนมาแช่อยู่เต็มทุกบ่อ
ซึ่งผู้ที่แวะผ่านมาแช่ออนเซ็น ก็คิดราคา 80 บาท ตลอดวัน มีผ้าเช็ดตัวและกางเกงขาสั้นให้เปลี่ยน แต่สำหรับผู้ที่มาเข้าพัก หรือเช่าที่กางเต๊นส์ จะสามารถเข้าแช่ได้ฟรีตลอด
ชอบในบรรยากาศที่เงียบสงบ มองเห็นต้นมะเขือมิกกี้เมาส์ตรงนั้น เลยขอไปบันทึกภาพไว้
ปลูกเพื่อความสวยงาม แต่ห้ามรับประทานนะ ได้ข้อมูลมาว่ามีพิษ อย่าเผลอเอาไปแกงหรือตำมั่ว
หลังจากแช่น้ำแร่สบายตัวไปชั่วโมงกว่าๆ ก็ได้เวลากลับไปอีกเส้นทางที่ใกล้กว่า เพื่อตรงไปยังม่อนแจ่ม ... เพราะขามาเดินทางมาจากเส้นทาง อ.สะเมิง ซึ่งไกลถึง 70 ก.ม. และไปหลงทางในเส้นทางเปลี่ยวอยู่ในป่า ขนาดที่ GPS ยังไม่สามารถแสดงแผนที่ สัญญานโทรศัพท์ก็ไม่มี ถนนก็เล็กเลนเดียวเรียกได้ว่าต้องขับเดินหน้าอย่างเดียว ไม่เจอรถ ไม่เจอบ้านคน ตลอดระยะทางเกือบ 30 กิโลเมตร ซึ่งไม่แนะนำเส้นทางที่วิ่งมาจาก อ.สะเมิง ขนาดแม่ค้าขายสตรอเบอรี่ ยังแนะนำว่าให้ย้อนขับกลับไปเส้นทางเดิมที่จะไปแม่ริม แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าทางแยกศูนย์พัฒนาโครงการหลวงหนองหอย แต่เราคิดว่ามาถึงตัวอำเภอสะเมิงแล้วขอเดินหน้าไม่ยอมถอย แต่ยอมรับว่าเส้นทางนี้น่ากลัวจริงๆ เราน่าจะเชื่อแม่ค้าคนนั้น
ได้เวลาจากลา น้ำพุร้อนโป่งกวาว ไว้มาเชียงใหม่คราวหน้า จะแวะกลับมาอีก
ชมบรรยากาศสองข้างทาง ระหว่างทางกลับเพื่อตรงไปให้ทันชมพระอาทิตย์ตกดินที่ ม่อนแจ่ม
เจอเข้ากับ อ่างห้วยตอง และมีควันที่เกิดจากชาวบ้านกำลังก่อกองไฟ ทำให้นึกถึงบรรยากาศหมอกเหนือผิวน้ำของ ปางอุ๋ง ยามเช้า
จึงขอจอดรถแวะถ่ายภาพซักหน่อย
ได้ควันไฟ สร้างบรรยากาศดีจริงๆ ... คุยกับคนแถวนั้นบอกว่า ในยามเช้าก็จะมีไอหมอกขาวเหนือผิวน้ำ เราจึงนึกไปว่า สามารถขับมาชมบรรยากาศแบบปางอุ๋งได้ แค่ 30 ก.ม. จากตัวเมืองเชียงใหม่
เห็นบรรยากาศแบบนี้ น่าเสียดายที่ไม่มีร้านกาแฟอยู่ตรงนี้
ได้ความจากชาวบ้านตรงนั้นว่า กำลังจะพัฒนาปรับปรุงเป็นแหล่งท่องเที่ยวริมทาง
เริ่มมืดลงเพราะเกือบจะ 5 โมงเย็น ต้องรีบทำเวลากลับไปยัง ม่อนแจ่ม
เส้นทางสวยงามข้าง อ่างห้วยตอง มุ่งสู่ ม่อนแจ่ม
เส้นทางลัดเลาะขึ้นเขาตลอด
ไม่นานนักก็มาถึง ม่อนแจ่ม มาชมวิวดอยและดอกไม้ ม๋วนใจ๋
แม้จะมีพื้นที่ไม่มากนัก แต่ก็มีแปลงปลูกไม้ดอก ปลูกผักให้ชม
รวมทั้งมี ดอกป๊อปปี้ สัญลักษณ์ของ วันทหารผ่านศึก 3 ก.พ. ที่ผ่านมาเมื่อวานนี้
มีมุมร้านอาหาร ซึ่งแค่วิวก็อร่อยแล้ว
ด้วยอากาศเย็นสบาย สายลมหนาวพัดเอื่อยๆ
ช่วงเวลาแสงสุดท้ายของวันนี้ เริ่มใกล้เข้ามา ซึ่งต้องเดินข้ามไปอีกฝั่งเพื่อชมพระอาทิตย์
มาเก็บภาพบรรยากาศกัน
แสงสีทอง สาดกระทบใบไม้แห้ง ยิ่งทำให้สวยงาม
พระอาทิตย์กำลังจะแอบหลังเขาลูกนั้น
ถือว่ามาทันตามแผนที่วางไว้ในวันนี้ที่จะจบทริปด้วยการชมพระอาทิตย์ตกดินที่ ม่อนแจ่ม
จากนี้ ก็ต้องรีบกลับเข้าตัวเมือง เพราะหากมืดลงจะขับรถได้ยากบนเส้นทางขึ้นลงเขา
เก็บภาพสาวน้อยชาวดอยไว้ซักหน่อย
ยังไงก็ขอให้ยังคงรักษาการแต่งกายและวัฒนธรรมไว้คงอยู่ตลอดไปนะ
ขับมาไม่นานนัก ก็ผ่านหน้า ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงหนองหอย จึงหยุดแวะพักซื้อ สตรอเบอรี่ และ องุ่นดำ
ได้ชื่นชมฟ้าสวย ก่อนกลับขึ้นรถ ขับต่อกลับเข้าตัวเมืองเชียงใหม่ต่อไป