Disable Preloader




บันทึกการเดินทาง วางแผนเที่ยวแม่ฮ่องสอน ตอนปลายหนาว # 1

ด้วยความตั้งใจไว้นานแล้วว่า จะหาโอกาสเหมาะๆ กลับไปเที่ยวแม่ฮ่องสอนอีก หลังจากที่เคยเดินทางมาที่นี่ เมื่อเกือบ 20 ปีก่อนเห็นจะได้ จึงมองหาวันหยุดแบบลางานเพียง 2 วัน แต่ให้ได้ระยะเวลาเที่ยวรวม 5 วันเต็ม คือ ระหว่างวันที่ 4 - 8 มีนาคม 2558 จึงจะจัดทริปแบบเจาะลึก เที่ยวแบบแปลกใหม่ได้เต็มที่

จึงขอมาเขียนบันทึกการเดินทาง นำเสนอภาพสถานที่ต่างๆ ซึ่งบางแห่งอาจยังเป็นสถานที่แปลกใหม่ที่ยังไม่แพร่หลายกัน เผื่อเป็นข้อมูลสำหรับใครๆ ที่อยากไปเยือนเมืองสามหมอกแห่งนี้ คือ จังหวัดแม่ฮ่องสอน

เริ่มจากการเดินทางด้วยสายการบินนกแอร์ เที่ยวบินที่ DD8302 จากสนามบินดอนเมือง ถึงสนามบินเชียงใหม่ เวลา 8.00 น ซึ่งก็ให้รถเช่าจาก Journey ซึ่งเคยใช้บริการมาแล้ว นำรถมาส่งที่สนามบิน เพื่อเริ่มต้นการท่องเที่ยว ซึ่งการวางแผนการเดินทาง ไม่เพียงแต่การขับรถด้วยระยะทางที่พอเหมาะในแต่ละวันของคนขับ แต่เราก็ต้องใส่ใจผู้ร่วมเดินทางที่ต้องนั่งรถเพื่อพิชิตโค้งไปด้วยกัน เพื่อไม่ให้นั่งรถยาวไกลเกินไปในแต่ละวัน

โดยจุดหมายปลายทางแรก คือ อ.ปาย นั่นเอง โดยใช้เส้นทาง แม่มาลัย - อ.ปาย ซึ่งถนนค่อนข้างดีปรับปรุงให้กว้าง จะได้ว่าเมื่อ 20 ปีก่อนนั้น เมารถแทบแย่ เพราะเจอทาง แคบแต่ก็ต้องสาดโค้งเพื่อส่งแรง แต่ครั้งนี้เราเป็นผู้ขับซะเอง คงหมดสิทธิ์เมารถอย่างแน่นอน ซึ่งการเดินทางช่วงปลายหนาว เข้าสู่หน้าร้อนแบบนี้ ข้อดีคือ ไม่ใช่ช่วงเวลาที่จะมีใครมาท่องเที่ยวมากนัก ทำให้การขับรถสะดวกสบายมาก ใบไม้ก็เปลี่ยนสีเหลืองส้มตลอดทาง เพลินสายตา อากาศในตอนกลางวันอาจร้อนไปหน่อย แต่กลางคืนและเช้ามืด ถือว่ายังเย็นสบายมาก มีสายหมอกให้ได้ชม ขับมาถึงสถานที่ท่องเที่ยวแห่งแรก เพื่อแวะยืดเส้นยืดสายกัน

สะพานประวัติศาสตร์ (ท่าปาย) สร้างขึ้นในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง เมื่อปี พ.ศ. 2485 ขณะที่ญี่ปุ่นเรืองอำนาจอยู่ในประเทศไทย ทหารญี่ปุ่นใช้อำเภอปายเป็นเส้นทางขน ส่งจากเชียงใหม่ไปยังพม่า สะพานแห่งนี้เป็นเส้นทางลำเลียงกำลังพลและอาวุธสู่พม่าเช่นเดียวกับสะพานข้ามแม่น้ำแควที่กาญจนบุรี

แต่ในปี พ.ศ. 2516 เกิดอุทกภัยใหญ่ขึ้นทำให้บ้านเรือน เรือกสวนไร่นาพังเสียหาย สะพานไม้ท่าปายก็ถูกน้ำพัดพาทำลายไป ทางอำเภอปายจึงได้ทำเรื่องขอสะพานเหล็ก “สะพานนวรัฐ” เดิมของจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งขณะนั้นไม่ได้ใช้การแล้ว นำมาใช้แทนสะพานไม้ที่ถูกกระแสน้ำพัดทำลายไป (สะพานนวรัฐจากจังหวัดเชียงใหม่ ได้ถูกทยอย ขนย้ายขึ้นมาประกอบใช้ใหม่ ที่อำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน) หลังจากนั้น 1 ปีเต็ม จึงได้ประกอบขึ้นจนแล้วเสร็จ เป็น “สะพานประวัติศาสตร์ท่าปาย” ใน ปัจจุบัน

ก่อนเดินทางเข้าเช็คอินที่พัก พวกเรายังมีเวลาอีกหลายชั่วโมงตลอดช่วงบ่าย จึงไปสักการะพระอุ่นเมือง ซึ่ง "วัดน้ำฮู" ตั้งอยู่ที่ตำบลเวียงใต้ เป็นที่ประดิษฐานของพระอุ่นเมือง พระพุทธรูปสิงห์สามอายุประมาณ 500 ปี สร้างด้วยโลหะทองสัมฤทธิ์ หน้าตักกว้าง 28 นิ้ว สูง 30 นิ้ว ปางมารวิชัย พระพุทธรูปองค์นี้พระเศียรกลวง ส่วนบนเปิดปิดได้ และมีน้ำซึม ออกมาอยู่เสมอ ชาวบ้านและนักท่องเที่ยวนิยมเข้าไปนมัสการและขอน้ำที่ซึมออกมานี้ ภายในวัดยังมีเจดีย์อนุสรณ์สถานพระนางสุพรรณกลัยา พระเชษฐภคินีของสมเด็จ พระ นเรศวรมหาราช อีกด้วย

ใกล้กับวัดแห่งนี้ยังสามารถเดินทางไปเที่ยวยังบ้านสันติชล ซึ่งเดิมมีชื่อว่า "บ้านน้ำฮูจีน" ซึ่งชาวสันติชลได้จำลองวิถีชีวิตตามวัฒนธรรมดั้งเดิมมีกลิ่นอายของชาวยูนนาน

ได้เวลาจิบกาแฟในท่ามกลางบรรยากาศทิวเขา, ต้นไม้ และดอกไม้สีสันสดใสต่างๆ เคยมีโอกาสมาเที่ยวในช่วงมกราคมเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ซึ่งได้เห็นไม้ดอกเมืองหนาวมากมาย มาวันนี้อาจดูแห้งแล้งแดดแรงไปหน่อย แต่ก็รู้สึกผ่อนคลายจากวิวโล่งสุดสายตา

ซึ่ง ร้านกาแฟ Coffee In Love แห่งนี้กลายเป็น Signature ไปซะแล้ว เมื่อนักเดินทางมาเยือนเมืองปายก็ต้องแวะมาจิบกาแฟ ชิมขนม ชมวิว และ แช๊ะ! ภาพ เช็คอินไว้แชร์กัน ใน Social Network กัน

ร้านกาแฟแห่งรักนี้ เปิดตัวในวันวาเลนไทน์ วันแห่งความรัก จึงเป็นที่มาของชื่อร้าน ด้วยที่ตั้งของร้านตั้งอยู่ในพื้นที่สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์เมืองปายได้รอบด้าน

เข้าสู่ช่วงเย็น ก็ได้เวลามาเช็คอินที่พัก ซึ่งตั้งใจเลือกพักที่ อ.ปาย ที่ บ้านโชคดีปายรีสอร์ท แห่งนี้ เพราะอยู่ใกล้เพียงไม่กี่ร้อยเมตรจาก ถนนคนเดินปาย

ซึ่งตั้งใจมาเดินเที่ยว และรับประทานอาหารค่ำกันในบริเวณนี้อีกด้วย ซึ่งก็ได้สัมผัสสีสันยามค่ำคืน ซึ่งกว่า 90% จะเป็นักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยววัยรุ่นชาวจีนจำนวนมาก เช่ารถมอเตอร์ไซต์ขี่กันเป็นกลุ่มๆ และแทบจะไม่พบคนไทยมาท่องเที่ยวกันในช่วงนี้เมื่อปลายหนาว คงเพราะเริ่มเข้าสู่ฤดูร้อนกันแล้ว

หลังจากนั้น พวกเราก็ที่พักเพื่อเตรียมพักผ่อนหลังจากท่องเที่ยวมาตลอดทั้งวัน ซึ่งในวันรุ่งขึ้นยังมีโปรแกรมท่องเที่ยวแบบ Unseen in Thailand เป็นหนึ่งในจุดหมายของทริปนี้ อีกทั้งยังมุ่งหน้าไปยัง อ.เมือง จ.แม่ฮ่องสอน

หลังจากทานอาหารเช้ากันภายในตัวอำเภอปาย แล้วเปิดโปรแกรม Google Maps เพื่อให้ช่วยนำทางไปยัง บ้านเหมืองแร่ ซึ่งระยะทางประมาณ 20 ก.ม. จากตัวเมือง แต่เส้นทางนั้นสวยงามมากลัดเลาะไปตามเนินเขา เพื่อมายัง น้ำพุร้อนบ้านเหมืองแร่

ด้วยความตื่นเต้นที่มีน้ำร้อนพวยพุ่งอยู่ริมถนนที่สัญจรไปมา ไอน้ำสีขาวมองเห็นแต่ไกล ด้วยความพิเศษที่น้ำพุร้อนนี้ เพิ่งจะปะทุเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2556 ไม่นานมานี้เอง

และยังคงความเป็นธรรมชาติไว้ ไม่มีห้องอาบน้ำหรือการพัฒนาเป็นแหล่งแช่น้ำพุร้อน ซึ่งมีเพียงการให้บริการแช่ไข่ สามารถสั่งได้ทั้งไข่ลวก ไข่ยางมะตูม ไข่ต้ม ขึ้นอยู่กับระยะเวลาในการแช่ไข่ที่ความร้อน 96.4 องศาเซลเซียส อย่างนี้นี่เอง

คุณพี่สาวก็จัดการใช้โทรศัพท์มือถือ จับเวลาตามเมนูไข่ที่ต้องการ

และด้วยความเป็นกันเองของแม่ค้าในการให้บริการ สร้างความประทับใจให้มาชวนกันมาท่องเที่ยว

ได้เคยไปท่องเที่ยวยังแหล่งน้ำพุร้อนหลายๆ แห่งในเมืองไทย แต่ที่นี่มีความแปลกตรงที่อยู่ริมถนนนั่นเอง และน้ำร้อนที่พุ่งออกมาก็ไหลลงยังแม่น้ำปาย ยังแอบคิดว่า น่าจะพัฒนาให้เป็นแหล่งออนเซ็น (Onsen) แบบกลางแจ้งกันบ้าง ไม่ต้องบินไกลไปถึงประเทศญี่ปุ่น

น้ำแร่ที่นี่ก็มีความใสสะอาดมากๆ หากใช้อาบน่าจะได้ประโยชน์จากแร่ธาตุอย่างดี ผิวพรรณดีแน่นอน

หากบริการจัดการอย่างจริงจัง ก็อยากให้พัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยว มากกว่านำไปพัฒนาเป็นแหล่งผลิตไฟฟ้าพลังงานความร้อน ทำให้ธรรมชาติแบบนี้ ซึ่งพบได้ยากในบ้านเราต้องหายไปอย่างเช่นที่ บ่อน้ำพุร้อนที่ อ.ฝาง จ.เชียงใหม่

ได้เวลากลับเพื่อมุ่งไปยัง อ.เมือง จ.แม่ฮ่องสอน โดยขับจาก บ่อน้ำพุร้อนบ้านเหมืองแร่ กลับออกมาที่ถนนหลัก ซึ่งได้เลือกอีกเส้นทาง คือ ทางหลวงหมายเลข 1265 อ.ปาย - อ.กัลยานิวัฒนา แม้เส้นทางนี้จะต้องผ่านภูเขาสูง แต่ทว่าเป็นเส้นทางที่สวยงามมาก ได้เห็นทิวเขารอบทิศ ประมาณ 26 ก.ม. ก็ถึงเส้นทางหลัก โดยขับผ่านสะพานประวัติศาสตร์ ท่าปาย และแวะจิบกาแฟกันที่ บุระลำปายรีสอร์ท กันซักพัก เพิ่มความสดชื่นก่อนเดินทางกันต่อ

ซึ่งทริปนี้อยู่ในช่วงต้นเดือน มีนาคม ซึ่งปัญหาเรื่องหมอกควันเพิ่งจะเริ่มต้น แต่ต้นไม้กำลังผลัดใบเปลี่ยนเป็นสีส้ม สีเหลือง ตลอดเส้นทาง เมื่อขับมาถึง ดอยกิ่วลม ก็หยุดแวะเพื่อเก็บภาพบรรยากาศขุนเขาสวยงาม สายลมเย็นพัดดอกหญ้าปลิวไสว ก่อนเดินทางเพื่อแวะพักทานข้าวกันที่ อ.ปางมะผ้า กันต่อไป

จากนั้นก็รีบเดินทางกันต่อ เพื่อเข้ามาถึงยังตัวอำเภอเมืองของแม่ฮ่องสอนก่อนมืดค่ำ ซึ่งพวกเราก็เช็คอินกันที่ ริมธารรีสอร์ท โดยเลือกพักอยู่ในตัวเมือง เพื่อสะดวกในการเดินทางมาเที่ยวยัง วัดจองกลาง (Wat Chong Klang) ซึ่งอาจเรียกได้ว่า เป็น Signature ของแม่ฮ่องสอนไปแล้วก็ได้ ด้วยความงดงาม และที่ตั้งริมบึงน้ำขนาดใหญ่ ทำให้เก็บบันทึกภาพมุมกว้างได้อย่างสวยงาม

ภายในวิหารมีแท่นตั้งพระพุทธสิหิงค์จำลอง ปิดทองเหลืออร่ามไปทั้งองค์ นอกจากนี้ยังมีสิ่งที่น่าสนใจ คือ ตุ๊กแกแกะสลักด้วยไม้ เป็นรูปคนและสัตว์เกี่ยวกับพระเวชสันดรชาดก ฝีมือแกะสลักของพม่า จำนวน 33 ตัว ซึ่งนำมาจากพม่าตั้งแต่ปี พ.ศ. 2400 ทางด้านจิตรกรรมยังมีภาพวาดบนแผ่นกระจกเรื่องพระเวชสันดรชาดก และภาพประวัติเจ้าชายสิทธัตถะ ตลอดจนแสดงให้เห็นชีวิตความเป็นอยู่ของคนสมัยนั้นหลายภาพ และมีบันทึกบอกไว้ว่าเป็นฝีมือของชาวพม่าจากมัณฑะเลย์

ด้วยความเสียดายที่มัวแต่เก็บภาพบรรยากาศภายนอก จึงไม่ได้เข้าไปชมรายละเอียดที่กล่าวมาได้ครบ อีกทั้งยังไม่ได้เดินเข้าไปถึงยัง วัดจองคำ ซึ่งทั้งสองวัดเปรียบเสมือนเป็นวัดแฝดเพราะอยู่ในกำแพงเดียวกัน หากมองจากด้านหน้า วัดจองคำ จะอยู่ทางซ้ายมือ ส่วนวัดจองกลาง จะอยู่ทางขวามือ

บรรยากาศเริ่มมืดลงในยามโพล้เพล้ มองเห็นแสงสีส้มเหนือยอด ดอยกองมู

พวกเราจึงตัดสินใจเปลี่ยนแผน โดยรีบขึ้นไปยัง วัดพระธาตุดอยกองมู กันตอนนี้ เพื่อไปชมพระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้า แทนที่จะขึ้นไปกันในวันพรุ่งนี้เช้า

มาทันเห็นดวงอาทิตย์ไปหลบหลังเขาพอดี เปลี่ยนสีท้องฟ้าให้กลายเป็นสีส้ม

เริ่มมองเห็นหมอกขาวตามทิวเขา

เป็นภาพความสวยงามตามธรรมชาติ ซึ่งคนเมืองอย่างเราไม่ค่อยได้เห็น แต่อาจเป็นภาพที่ชินตาของชาวเมืองสามหมอกแห่งนี้

จากนั้น จึงถือโอกาสมาไหว้พระ ทำบุญกันที่ วัดพระธาตุดอยกองมู ซึ่งเดิมชื่อ "วัดปลายดอย" แต่ปัจจุบันนี้นิยมเรียกว่า "วัดพระธาตุดอยกองมู" ภายในวัดพระธาตุดอยกองมูมีพระธาตุเจดีย์ที่สำคัญ 2 องค์ คือ พระธาตุเจดีย์องค์ใหญ่ สร้างเมื่อจุลศักราช 1222 ตรงกับ พ.ศ. 2403 โดยศรัทธาผู้สร้างชื่อ "จองต่องสู่" และ "นางเหล็ก" ผู้เป็นภรรยา และพระธาตุเจดีย์องค์เล็ก สร้างเมื่อจุลศักราช 1236 ตรงกับ พ.ศ. 2417 โดยศรัทธาผู้สร้าง "พญาสิงหนาทราชา" เจ้าผู้ครองเมืองแม่ฮ่องสอนคนแรก

ถือเป็นวัดศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของชาวแม่ฮ่องสอนมาช้านาน พระธาตุเจดีย์องค์ใหญ่ ลักษณะเป็นเจดีย์ทรง เครื่องแบบมอญ ประดับลวดลายปูนปั้น มีฐานแปดเหลี่ยมซ้อนสามชั้น บริเวณฐานด้านล่างประดับด้วยซุ้มพระตามทิศทั้งแปด

พระธาตุเจดีย์องค์เล็ก เป็นที่บรรจุพระธาตุของพระโมคคัลลานะเถระ ซึ่งนำมาจากพม่าลักษณะเป็นเจดีย์ทรงเครื่องแบบมอญ มีฐานสี่เหลี่ยมจัตุรัสซ้อนสามชั้น ตรงมุมทั้งสี่ของฐานมีปูนปั้นรูปสิงห์ประดับอยู่ บริเวณฐานด้านล่างประดับด้วยซุ้มพระแบบศิลปะมอญ ซุ้มประธานมีหลังคาประดับเรือนยอดสามยอด แต่ละยอดเป็นทรงประสาทซ้อนสามชั้น ประดับลวดลายปูนปั้นสวยงาม วิหารวัดพระธาตุดอยกองมู อยู่ติดกับพระธาตุเจดีย์องค์ใหญ่ สร้างขึ้นพร้อมกันโดยมีลักษณะเป็นอาคารทรงโรงเปิดโล่ง ผังรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า หลังคาซ้อนสามชั้น มุงด้วยกระเบื้องไม้และตกแต่งโลหะ ฉลุลวดลายตามแบบศิลปะไทยใหญ่

เมื่อขึ้นมาถึงบนวัดแห่งนี้ ยังสามารถมองเห็นภูมิประเทศและสภาพตัวเมืองแม่ฮ่องสอนได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะวัดพระธาตุจองกลาง และวัดพระธาตุจองคำ สีเหลืองทองอร่ามตรงนั้น

จากนั้น เราก็ขับรถกลับลงมายังบริเวณ วัดจองกลาง และ วัดจองคำ อีกครั้ง ซึ่งมีถนนคนเดินเปิดร้านขายสินค้า ของที่ระลึกต่างๆ รวมทั้งร้านอาหารบริเวณโดยรอบบึง

จึงถือโอกาสบันทึกภาพยามค่ำคืนไว้ในความทรงจำ ภาพเจดีย์สีทองเหลืองอร่าม และสะท้อนน้ำอย่างสวยงาม

ปิดทริปใน 2 วันแรกอย่างประทับใจ ไว้ตามติดตามกันต่อในเอนทรีถัดไป จะพาไปเที่ยวชมแบบ Unseen in Thailand กันต่อ ขอหม่ำอาหารเหนืออร่อยๆ กันที่ ร้านอาหารใบเฟิร์น ที่บรรยากาศดี นอนหลับเติมพลังในคืนนี้ เพื่อเดินทางกันต่อไป ไว้มาติดตามกันต่อไปนะ