เช้านี้ตื่นสายคงเพราะความเหนื่อยจากการขับรถเมื่อวานนี้ แต่ก็ยังได้สัมผัสอากาศเย็น ชมบรรยากาศรอบๆ ของ ริมธารรีสอร์ท พร้อมทานอาหารเช้าฟังเสียงนกร้อง ที่กำลังมากินลูกตะขบอยู่ข้างลำธาร
มองเห็นพระธาตดอยกองมู ที่ได้ขับรถขึ้นไปชมความงามของพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าเมื่อวานนี้ ซึ่งในวันนี้ยังต้องเดินทางไปยัง บ้านรักไทย ซึ่งเป็นจุดหมายหลักของทริปนี้ หลังจากขับรถออกจากตัวเมืองแม่ฮ่องสอนราว 15 กิโลเมตร ก็เลี้ยวซ้ายเข้าสู่เส้นทางที่ตรงไปยังหมู่บ้านดังกล่าว ระยะทางประมาณ 29 กิโลเมตร
ระหว่างทางก็แวะท่องเที่ยวยัง พระตำหนักปางตอง หรือ “ศูนย์บริการและพัฒนาที่สูงปางตองตามพระราชดำริ” ตั้งอยู่ในเขตตำบลหมอกจำแป่ เมืองแม่ฮ่องสอน ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2523 โดยเป็นศูนย์บริการและพัฒนาแห่งที่สองของโครงการพัฒนาตามพระราชดำริ จังหวัดแม่ฮ่องสอน
มีพื้นที่ทั้งหมด 5,353 ไร่ โดยใช้เป็นสถานที่สำหรับการทดลองค้นคว้าวิจัย และ สาธิตชาวไทยภูเขาในพื้นที่สูง ได้แก่ บ้านปางตอง (ไทยใหญ่,กะเหรี่ยง) บ้านนาป่าแปก (ม้ง,ไทยใหญ่) บ้านห้วยมะเขือส้ม การเพาะปลูกพืช การเลี้ยงสัตว์เมืองหนาวเพื่อส่งเสริมให้แก่ราษฎร (ม้ง,ไทยไหญ่) และ บ้านรวมไทย (ไทยใหญ่) ที่ส่วนมากมีอาณาเขตติดขอบชายแดนพม่า
จากนั้นก็เดินทางกันต่อมายัง ปางอุ๋ง หรือ “โครงการพระราชดำริปางตอง 2”
ตั้งอยู่ที่บ้านรวมไทย เป็นสถานที่ที่มีทัศนียภาพงดงามจนถึงกับได้รับสมญาว่า สวิสเซอร์แลนด์แดนสามหมอก มีทิวสนสองใบ-สนสามใบเรียงรายตลอดแนวอ่างเก็บน้ำอันกว้างใหญ่ โอบล้อมด้วยขุนเขาที่เขียวชอุ่ม
ทั้งนี้ คำว่า “ปาง” หมายถึง ที่พักของคนทำงานในป่า คำว่า “อุ๋ง” หมายถึง ที่ลุ่มต่ำคล้ายกระทะใบใหญ่ มีน้ำขังเฉอะแฉะ
เดิมบริเวณนี้เป็นสถานที่ทำไร่ฝิ่นของชาวเขา พระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงเห็นว่าพื้นที่บริเวณนี้มีการปลูกพืชเสพติด รวมไปถึงการบุกรุกพื้นที่ตัดไม้ทำลายป่าอยู่เสมอ จึงมีพระราชดำริให้รวบรวมราษฎรกลุ่มน้อยบริเวณนั้นและพัฒนาความเป็นอยู่ ส่งเสริมอาชีพปลูกป่า สร้างอ่างเก็บน้ำ และฟื้นฟูอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติให้สมบูรณ์ยั่งยืน
ปัจจุบัน ปางอุ๋ง กลายมาเป็นที่ปลูกพรรณพืชอย่าง อะโวคาโด พลับ สาลี่ บ๊วย มีการตกแต่งด้วยสวนไม้ดอกไม้ประดับเมืองหนาว เช่น กุหลาบ ไฮเดรนเยีย พวงแสด อยู่โดยรอบ มีการปลูกสมุนไพรที่เป็นประโยชน์ในด้านอาหารและแพทย์แผนไทย
ซึ่งมีความกลมกลืนกับสภาพภูมิประเทศบนที่สูงและอากาศเย็น พร้อมบ่อเพาะเลี้ยงสัตว์ประจำถิ่นซึ่งกำลังจะสูญพันธ์อย่าง "เขียดแลว" หรือ "กบทูด" เป็นกบภูเขาชนิดหนึ่งที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของโลก
ยังเป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับผู้ที่ชอบธรรมชาติและความสงบเงียบ โดยเฉพาะช่วงที่ไม่ได้อยู่ในฤดูการท่องเที่ยวอย่างวันนี้ ไม่เช่นนั้นจะได้เห็นเต๊นส์กางอยู่เต็มไปหมด
นอกจากชมบรรยากาศของสายหมอกในยามเช้าแล้ว กิจกรรมอีกอย่างหนึ่งที่เป็นที่นิยมในหมู่นักท่องเที่ยวเมื่อแวะมาเยือนปางอุ๋ง คือ การนั่งแพชมทัศนียภาพและบรรยากาศโดยรอบ รวมถึงชมดาราแห่งปางอุ๋ง ซึ่งเป็นหงส์พระราชทานจากสมเด็จพระราชินีเป็นหงส์ดำและหงส์ขาวอย่างละ 1 คู่
ปล่อยให้เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ ซึ่มซับบรรยากาศและอากาศสดชื่น
ได้ร่มเงาจากต้นสนสูงใหญ่ ลมพัดเอื่อยๆ ถือโอกาสนั่งปิกนิคตรงนี้สักพักก่อนไปตามหาร้านกาแฟอร่อยๆ กันต่อไป
ได้เวลาเดินทางกันต่อ เก็บความประทับใจไว้ในความทรงจำ
ได้เวลาไปจิบกาแฟในร้านกาแฟสุดสวยของหัวหน้าสมาน โดยขับออกจาก ปางอุ๋ง เลี้ยวซ้ายมาไม่นานนัก
มองสังเกตป้าย Coffee Camp และดอกไม้สวยสะดุดตา แสดงว่ามาถึงแล้ว
อดไม่ได้ที่จะบันทึกภาพมุมต่างๆ ทั้งที่ร่างกายบอกว่า ต้องการคาเฟอีนแล้ว
ร้านกาแฟริมถนน แต่ได้สีสันพันธุ์ไม้ที่ช่วยชักชวนให้แวะชิมกาแฟกัน
จิบกาแฟไป วางแก้วลง ก็ลุกเดินไปกดชัตเตอร์
ทำแบบนี้สลับไปมา
ก็จะให้นั่งติดอยู่กับที่ได้อย่างไร
เมื่อเห็นศูนย์รวมไม้เมืองหนาว มาจัดแสดงอยู่ตรงหน้าเช่นนี้
ซึ่งถ้าเจ้าของร้าน ไม่รักธรรมชาติอย่างแท้จริง
คงไม่สามารถสร้างสรรค์ได้สวยงามเช่นนี้ ต้องขอชื่นชมไว้ ณ ที่นี้
ทำเอานักรีวิวเว่อร์อย่างเรา อยู่นิ่งไม่ได้
ถ้าจะดี หากได้มาพักฟรีซักคืน จะได้รีวิวให้ละเอียด ... ล้อเล่นนะ ได้ก็ดี ... ได้เวลาเกือบ 5 โมงเย็นแล้ว พวกเราก็ต้องรีบเดินทางต่อไปเช็คอินที่ บ้านรักไทย ก่อนจะมืดซะก่อน
มาถึงแล้วจุดหมายที่ตั้งใจ และเป็นการจุดประกายให้อยากจัดทริปนี้
เช็คอินเรียบร้อยที่ ลีไวน์รักไทยรีสอร์ท แล้วรถขับมาถึงบ้านพักของพวกเรา มองเห็นวิวทะเลสาบอยู่ไม่ไกล
บ้านพักสไตล์จีนยูนนาน รายล้อมด้วยต้นชาปลูกเป็นแนวลดหลั่นตามระดับของภูเขา
มองบรรยากาศแล้วต้องถามตัวเองว่า "นี่เราอยู่เมืองไทยหรือนี่?"
ห้องพักใหญ่ แต่ไม่มีแอร์ ... แอบบ่นในตอนแรก แต่ทว่าหลังจากดวงอาทิตย์ลาลับขอบฟ้า ก็พยายามมองหาวิธีปิดแอร์ซะงั้น เพราะว่าหนาวมากๆ
บ้านทุกหลังตั้งตามชื่อ "ชา" และได้เวลาอาหารกันแล้ว เพราะทางรีสอร์ทแจ้งว่า "ครัวจะปิดเวลา 1 ทุ่ม"
เก็บของเรียบร้อย ก็ขับรถลงมายังร้านอาหาร
มองวิวก็รู้สึกอิ่มขึ้นมานิดๆ แต่ก็รีบจัดแจงสั่งอาหาร มาทำความรู้จักกับ บ้านรักไทย กันก่อน ซึ่งหมู่บ้านแห่งนี้ ตั้งอยู่ที่ ตำบลหมอกจำแป่ อำเภอเมือง จังหวัดแม่ฮ่องสอน เป็นหมู่บ้านชาวจีนยูนนานอดีต ทหารจีนคณะชาติ (กองพล 93) “ก๊กมินตั๊ง” บ้านรักไทย อยู่สูงจากระดับน้ำทะเล กว่า 1,776 เมตร ทำให้พื้นที่ เหมาะสมอย่างยิ่งกับการปลูกชาพันธุ์ดี และพืชเมืองหนาว ทิวทัศน์ของหมู่บ้านโอบล้อมไปด้วยทิวเขา แมกไม้ที่อุดมสมบูรณ์ บ้านรักไทย เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อในเรื่องของชาและขาหมู่หมั่นโถว คล้ายกับดอยแม่สลอง (กองพลเดียวกัน)
ระหว่างรออาหารหลัก ก็ขอชิมออเดิฟจากภาพบรรยากาศโดยรอบก่อน ซึ่งนักท่องเที่ยวนิยมมาเที่ยวที่แห่งนี้ เพื่อดื่มด่ำกับการชิมชา และ ทานขาหมูหมั่นโถว บ้างก็หลีกหนีความวุ่นวาย เพื่อมาหาความเงียบสบายของบ้านรักไทยแห่งนี้
อาหารอร่อยใช้ได้ รสชาติเยี่ยม และได้บรรยากาศช่วยปรุงรสอีกทางหนึ่ง
ซึ่งพรุ่งนี้เช้าต้องตั้งนาฬิกาปลุกแต่เช้ามืด เพื่อมาชมสายหมอกบนสายน้ำ รับรองว่าสวยจริงๆ อยากจะบอกว่า "เมืองไทยของเรา สวยจริงๆ ไม่เชื่อก็มาดูด้วยตาตัวเอง" ไว้มาติดตามในเอนทรีถัดไป รับรองว่าต้องประทับใจเช่นกันแน่นอน