Disable Preloader




ซินจ่าว ... ฮานอย ตามรอยเที่ยวเวียดนาม : ตอนที่ 1

"ซินจ่าว" ก็คือคำทักทาย "สวัสดี" ในภาษาเวียดนาม ซึ่งถ้ามีใครมาชวนไปท่องเที่ยวเวียดนาม จะต้องถามกลับไปว่า "จะไปเที่ยวเวียดนามเหนือ, กลาง หรือใต้" แต่ในทริปนี้ซึ่งไปท่องเที่ยวกันทั้งบริษัทฯ รวม 50 คน ร่วมเดินทางไปท่องเที่ยวเวียดนามเหนือ เพื่อสัมผัสลมหนาวช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน โดยจะไปท่องเที่ยวในเมืองและสถานที่ท่องเที่ยวโด่งดัง ได้แก่ เมืองฮานอย (Hanoi), อ่าวฮาลอง (Halong Bay) และ เมืองนิงห์บินห์ (Ninh Binh)

ซึ่งทริปนี้เราเที่ยวกันอย่างเต็มอิ่ม 3 วัน 2 คืน เพราะออกเดินทางเที่ยวบินเช้ามึด และกลับในเที่ยวบินเกือบเที่ยงคืน ... เมื่อเดินทางถึง "สนามบินนอยไบ" ในเวลา 8.45 น. เราก็ขึ้นรถบัส เพื่อเดินทางไปยัง "จตุรัสบาดิงห์" ซึ่งระหว่างทาง จะพบเห็นไร่นาตลอดสองข้างทาง ซึ่งมีการเพาะปลูกข้าวและพืชผัก แทบจะไม่มีที่รกร้างว่างเปล่าเลย

มองเห็นสิ่งก่อสร้างเล็กๆ ตามท้องนานั่นก็คือ "ฮวงซุ้ย" ... ใช่แล้วครับ ผมเขียนไม่ผิดหรอก เพราะแต่ละครอบครัวจะฝังผู้ที่จากไปไว้ตามไร่นาเป็นเวลา 3 ปี หลังจากนั้น ก็จะขุดเพื่อนำกระดูกมาทำพิธีทางศาสนาต่อไป ทำให้เข้าใจได้ว่าคนเวียดนามนั้นให้ความสำคัญและผูกพันกับสถาบันครอบครัวอย่างดี

และคนส่วนใหญ่ยังยึดถือวิถีทางการเกษตรแม้ว่าจะอยู่ในเมืองหลวง "ฮานอย" ขอชื่นชมว่าคนเวียดนามนั้น เป็นคนขยันมากๆ ยังคงใช้วัวควายแทนการใช้เครื่องจักร, ใช้จักรยานแทนการใช้รถกระบะ และมีตึกรามบ้านช่องอยู่จำนวนมากอยู่รวมกันเป็นสังคม

ในบางจุดจะมีบ้านลักษณะตึกแถวอยู่ติดกันอย่างเนืองแน่น มักจะพบโบสถ์ขนาดใหญ่ในบริเวณชุมชน และมีจุดที่น่าสนใจ คือ บ้านของชาวเวียดนามมักจะทาสีหน้าบ้าน และเว้นเป็นปูนดิบทั้งซ้ายขวา ... ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น?

เพราะจะเผื่อว่าจะมีการปลูกสร้างบ้านขึ้นใหม่ข้างๆ ซึ่งมักจะเป็นคนครอบครัวเดียวกัน ทำให้ไม่ต้องเปลืองสี ยกเว้นบ้านที่เป็นลักษณะเหมือนบ้านเดี่ยว จึงจะทาสีรอบบ้าน แต่ก็เป็นส่วนน้อย

ระหว่างเส้นทาง เรายังได้สัมผัสกับโบสถ์ในศาสนาคริสต์ และวัดจีน ทำให้เข้าใจได้ว่า ทางเวียดนามจะมีการผสมผสานหลากหลายทั้งยุโรปครั้งเป็นเมืองขึ้นของประเทศฝรั่งเศส และจีนเพราะคงเป็นประเทศเพื่อนบ้าน

คงเป็นเพราะประเทศเวียดนาม มีเขตแดนติดกับประเทศจีน ทำให้วัฒนธรรมและศิลปะมักจะมีรูปแบบเดียวกับจีน ทำให้มาเที่ยวเวียดนามแล้ว แอบนึกไปว่า นี่เรากำลังท่องเที่ยวอยู่ในประเทศจีนหรือนี่!

มี "แม่น้ำสอง" ไหลผ่านเมืองฮานอย ซึ่งคงคล้ายกับแม่น้ำเจ้าพระยาในบ้านเรา และเป็นเส้นทางคมนาคมทางน้ำที่สำคัญ

มองเห็นเรือขนส่งจำนวนมาก เรียงรายภายในหมอกขาว

และที่น่าหวาดเสียวมากๆ คือ การใช้รถใช้ถนนในประเทศเวียดนาม เพื่อความปลอดภัยสำหรับผู้ที่เสี่ยงต่อการหัวใจวาย ขอแนะนำให้อย่านั่งที่เบาะแถวหน้าๆ เป็นอันขาด ไม่เช่นนั้นอาจพบเห็นการขับรถแบบไม่สนใจกฏจราจร ให้ได้ตื่นเต้นตลอดทางอย่างแน่นอน มีข้อแนะนำให้งีบหลับไปเลยจะดีกว่า ... ยังดีที่เขาจะจำกัดความเร็วไม่เกิน 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งหากเกิดอุบัติเหตุก็จะไม่รุนแรงมากนัก ทำเอาพวกเรานั่งรถนานโดยเฉพาะการวิ่งระหว่างเมือง

แต่สำหรับผมไม่ยอมงีบหลับเป็นอันขาด แต่จะมองภาพแปลกๆ ข้างทาง อย่างรถมอเตอร์ไซด์ขนหมู หรือรถมอเตอร์ไซด์ขนจอทีวีพลาสมาโดยไม่มีการผูกเชือก แต่ก็สามารถขี่ไป สาดโค้งไปด้วยความสามารถพิเศษ ห้ามลอกเลียนแบบไม่เช่นนั้น กล่องอาจไปกองอยู่กับพื้นถนนอย่างแน่นอน

เราก็เดินทางมาถึง "จตุรัสบาดิงห์" บน "ถนนเดียนเบียนฟู" ณ จตุรัสแห่งนี้ "โฮจิมินห์" ได้อ่านคำประกาศอิสรภาพให้เวียดนาม พ้นจากการปกครองของฝรั่งเศส ในวันที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2488 หลังจากตกเป็นเมืองขึ้นนานถึง 48 ปี ... และสถาปัตยกรรมสีเหลืองทั้งหลังนี้ ก็คือ "ทำเนียบประธานาธิบดี"

ถัดจากนั้น จะมองเห็น "สุสานโฮจิมินห์" ที่ตั้งโดดเด่น สง่างาม เป็นอาคารทรงเรียบที่สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1973 โดยจำลองรูปแบบสุสานของเลนิน ที่กรุงมอสโคว์ และเปิดให้สาธารณชนเข้าชมเมื่อตั้งแต่ปี ค.ศ. 1975 ซึ่งภายในเก็บร่างไร้วิญญาณของโฮจิมินห์ ในห้องกระจกปรับอากาศ โดยนักท่องเที่ยวสามารถเข้าไปภายในได้ เพื่อแสดงความเคารพเพื่อเป็นการให้เกียรติอดีตผู้นำสำคัญของชนชาติเวียดนาม ... ถือเป็นจังหวะพอดีที่เดินทางไปทริปนี้ เพราะเพิ่งเปิดให้เข้าไปภายในได้เพียง 3 วัน หลังจากที่นำร่างของท่านไปอาบน้ำยาใหม่ที่ประเทศรัสเซีย

หลังจากนั้น ต้องขอบันทึกภาพภายนอกไว้เป็นที่ระลึกกันสักหน่อย และภายในสุสานนั้น ห้ามนำอุปกรณ์ถ่ายภาพ, โทรศัพท์มือถือ, กระเป๋าถือ และกระเป๋าสะพายเข้าไป และในตอนต่อไปจะขอนำชม "บ้านพักโฮจิมินห์" แล้วจะได้คำตอบว่า ทำไมคนเวียดนามจึงรักและเคารพ "คุณลุงโฮ" อย่างมาก มาติดตามตอนต่อๆ ไปนะครับ