เดินถัดจากบ้าน "คุณลุงโฮ" มาไม่กี่ก้าว ก็จะมาถึง "วัดเจดีย์เสาเดียว" หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "วัดแห่งรัก" เป็นศาลาเก๋งจีนขนาดเล็ก สร้างด้วยไม้ทั้งหลัง ตั้งอยู่บนเสาต้นเดียวปักอยู่ในสระบัวขนาดกลางรูปสี่เหลี่ยม ซึ่งสร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1049 โดยจักรพรรดิหลีไทตง (Ly Thai Tong) ด้วยพระองค์ทรงนิมิตเห็นเจ้าแม่กวนอิมนั่งในดอกบัว แล้วบรรจงส่งทารกเพศชายในอ้อมกอดให้แก่พระองค์ จึงได้มีรับสั่งให้สร้างเจดีย์ทรงดอกบัวอยู่บนเสาต้นเดียวกลางสระ หลังจากนั้นไม่นาน พระชายาก็ทรงให้กำเนิดโอรส
เจดีย์ไม้แห่งนี้มีชื่อเสียงมากในเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ ใครอยากได้ลูกชายก็นิยมไปขอกัน ภายในประดิษฐาน "เจ้าแม่กวนอิมแสดงอภินิหาร" มี 10 กร แต่ละกรถือของมงคลรวม 8 อย่าง
ถัดไปอีกเล็กน้อยสามารถเข้าชม "พิพิธภัณฑ์โฮจิมินห์" ที่จัดแสดงชีวประวัติของโฮจิมินห์ ซึ่งได้ผสมผสานกับวัฒนธรรมประเพณี และชาติพันธุ์วิทยาได้เป็นอย่างดีจึงทำให้น่าสนใจมาก แต่ผมไม่ได้เข้าไปชม มัวแต่ยืนดูโปสการ์ดเหล่านี้ ก็เหมือนได้รู้จักกับประเทศเวียดนามได้มากขึ้น
เสียดายยังไม่ได้แลกเงิน "ด่อง" ซึ่งเป็นสกุลเงินของเวียดนามไว้ จึงไม่ได้อุดหนุนโปสการ์ด งั้นขอเก็บภาพไว้ช่วยเผยแพร่ภาพงามๆ ของประเทศเวียดนามอีกทางหนึ่งแล้วกัน ... แช๊ะ!
พวกเราเดินต่อไปเพื่อกลับมายังรถบัส เพื่อไปรับประทานอาหารกลางวันกัน ซึ่งต้องเดินผ่านด้านหลังของ "สุสานโฮจิมินห์" ก็ได้เห็นภาพประทับใจ เมื่อทหารเดินสวนกัน และต่างก็ยกมือขึ้นเพื่อขอ "Shake Hand" กัน ช่วยให้ได้ภาพที่มีองค์ประกอบสมบูรณ์ขึ้น
เมื่อเดินมาถึงรถบัส ก็ได้เห็นรถแท๊กซี่คันจิ๋ว และรถสามล้อถีบ ดูน่าสนใจไม่น้อย ซึ่งมีชื่อเรียกว่า "ซิกโคล่" (Cy Clo) ซึ่งจะพาผู้โดยสารเที่ยวชมบ้านเมืองทุกตรอกซอกซอย ยิ่งเข้าไปแถวบริเวณที่นักท่องเที่ยวจำนวนมาก ก็ยิ่งได้พบกับรถซิกโคล่อยู่เต็มไปหมด
เราออกเดินทางต่อไปเพื่อทานอาหารเที่ยง ระหว่างทางก็ไม่พลาดจะเก็บบรรยากาศริมทาง และที่เห็นนี้ก็ คือ "หัวลำโพง" ของเมืองฮานอย ... ใช่แล้วสถานีรถไฟนั่นเอง หากย้อนไปดูเอนทรีท่องเที่ยวประเทศต่างๆ ก่อนหน้านี้ ผมมักจะมีภาพและเรื่องราวของสถานีรถไฟในประเทศนั้นๆ ด้วยเพราะเป็นคนชื่นชอบรถไฟมากเป็นพิเศษ
มองเห็นอนุสาวรีย์ตามทาง ก็บันทึกภาพไปเรื่อยๆ โดยไม่รู้เลยว่าเป็นอนุสาวรีย์ของผู้ใด และแล้วเราก็มาถึงภัตตาคาร ซึ่งรับประทานอาหารจีน และมีอาหารเวียดนามแซมด้วย จะได้ลิ้มรสอาหารเวียดนามต้นตำรับเป็นมื้อแรก
ไม่ได้บันทึกภาพอาหารแล้ว เพราะมือไม่ว่าง มัวแต่คีบอาหาร ... ได้ลิ้มรสข้าวของเวียดนาม ข้าวอร่อยเม็ดสั้นคล้ายๆ กับข้าวญี่ปุ่นแต่ยาวกว่าข้าวญี่ปุ่นเล็กน้อย และมีข้าวหมากจอกเล็กๆ ข้างชามข้าว ได้ชิมไปนิดๆ ให้พอได้รสชาด แต่ไม่ปลื้ม ... หันไปดื่มเบียร์เวียดนามต่อดีกว่า
หลังจากอิ่มหนำสำราญจากอาหารมื้อเที่ยงแล้ว ก่อนขึ้นรถเพื่อเดินทางต่อ เราก็ไปดูการจับจ่ายซื้อส้มจี๊ดเล็ก สนนราคาถุงนี้ 20 บาท จ่ายแบงค์ไทยได้เลย แถมการโชว์ชั่งน้ำหนักแบบโบราณและความสนุกสนานในการต่อราคา รวมทั้งขอแถม
หลังจากขึ้นรถบัส พวกเราต้องเดินทางต่อไปยังเมือง "ฮาลอง" ซึ่งใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมง มีจุดแวะพักสำหรับนักท่องเที่ยวบ้าง ซึ่งระยะทางไม่ไกลมาก แต่รถต่างๆ ถูกจำกัดความเร็วไม่เกิน 60 ก.ม./ชั่วโมง ดังนั้น ใครอยากหลับก็ตีตั๋วหลับยาวได้เลย
มองดูข้างทาง ก็เพลิดเพลินดี บางช่วงจะผ่านเมืองที่เป็นเหมืองถ่านหิน จำชื่อเมืองไม่ได้ แต่ตามถนนข้างทางจะมีฝุ่นสีดำของถ่านหินเต็มไปหมด ... สำหรับทุ่งนาข้างทาง สามารถมองเห็นชาวนาชาวสวนทำการเพาะปลูกอยู่ตลอดทาง ซึ่งต้องชื่นชมในความขยัน และไม่ได้ใช้เครื่องกลช่วยในการเกษตร โดยยังคงใช้ควายไถนา และมือเก็บเกี่ยว
ดวงอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำซึ่งเราก็ใกล้ถึงเมืองฮาลองเข้าไปทุกที
ภาพที่เห็นนี้ก็คือ ทะเลซึ่งมองเห็นอยู่ไกล มองเห็นเกาะในฮาลองเบย์ ซึ่งพรุ่งนี้ เราจะไปล่องเรือเที่ยวกันตั้งแต่เช้า
มาถึงโรงแรมที่พักในเมืองฮาลอง มองเห็นพระอาทิตย์ตกพอดี และเห็นตึกภายนอกหน้าต่างดูสวยงามดี เรานำสัมภาระมาเก็บ พักผ่อนเล็กน้อยก่อนเดินทางไปรับประทานอาหารค่ำ
หลังจากนั้น เราเดินทางไปต่อยังตลาดกลางคืน (Night Market) เพื่อจับจ่ายซื้อของพื้นเมือง ซึ่งผมก็ได้ตุ๊กตา "มิสไซ่ง่อน" ทำด้วยเซรามิกนี้ เพื่อนำมาเป็นของขวัญมอบให้กับผู้ใหญ่ที่เคารพ และขอบันทึกภาพก่อนบรรจุลงกล่อง
ตลาดแห่งนี้ติดกับแม่น้ำ หรือทะเลไม่แน่ใจเพราะมืดมาก แต่มีเก้าอี้ชายหาดวางอยู่จำนวนมาก นึกว่ากำลังนั่งอยู่บางแสนซะอีก และมองเห็นสะพานแขวนอยู่ไกลๆ นึกว่า "สะพานพระราม ๘" ของบ้านเราซะอีก ... ได้เวลากลับที่พัก และพรุ่งนี้จะไปล่องเรือชมอ่าวฮาลองเบย์ ... คอยมาติดตามตอนต่อไป รับรองว่าจะต้องชอบ "Halong Bay" เหมือนผมอย่างแน่นอน
กล้อง : Canon PowerShot A620