หากติดตามมาแต่ละเอนทรี คงจะสงสัยว่าทำไมจึงย้อนกลับมาที่ฮานอยอีก เพราะการเดินทางของโปรแกรมเรา จะเริ่มต้นจาก ฮานอย -> ฮาลอง -> นิงห์บิงห์ -> ฮานอย ก่อนเดินทางกลับกรุงเทพฯ ในเที่ยวบินเกือบ 3 ทุ่มในคืนนี้
มองเห็นโบสถ์, ศาสนสถาน และสิ่งก่อสร้างแปลกๆ ระหว่างเส้นทาง อดไม่ได้ที่จะบันทึกภาพไว้ชื่นชม
ระหว่างการเดินทางจากเมืองนิงห์บิงห์มายังฮานอย ก็เพลิดเพลินกับวิวทิวทัศน์ข้างทาง ซึ่งระยะทางน่าจะประมาณ มวกเหล็ก มายัง กรุงเทพฯ แต่นั่งรถนานเกือบ 3 ชั่วโมง เพราะการขับขี่ที่ต้องจำกัดความเร็วไม่เกิน 60 ก.ม./ช.ม. ตามกฏหมาย
เป็นที่น่าสังเกตที่บ้านเรือนเขาจะผสมผสานการเกษตรไปด้วยเสมอ ไม่ว่าจะเป็นบ่อเลี้ยงปลา, แปลงปลูกผัก หรือไร่นาอย่างที่เคยพูดถึงว่า คนเวียดนามเป็นคนขยันขันแข็ง ด้วยคงเป็นเพราะระบบการปกครอง และการที่ต้องดิ้นรนสารพัดเพื่อความอยู่รอด
เมื่อได้เห็นสัญลักษณ์แบบนี้ แสดงว่าเรามาถึง กรุงฮานอย กันแล้ว มองไปนอกหน้าต่างเห็นรถมอเตอร์ไซด์แล่นขนานรถของเราเต็มไปหมด และต้องขอชื่นชมในการรักษาวินัยและกฏจราจร การสวมหมวกนิรภัยที่เคร่งครัดกันมาก เราควรดูเป็นตัวอย่างกันบ้าง ... ทราบหรือไม่ว่า ประเทศเวียดนาม ไม่มีการใช้สินเชื่อ และเครดิตการ์ด ... รถมอเตอร์ไซด์ที่เห็นนี้ทุกคันต้องซื้อด้วยเงินสดเท่านั้น
ซึ่งมีทั้งรถมอเตอร์ไซด์ยี่ห้อญี่ปุ่นก็จะแพงมาก แต่เริ่มมีของจีนเข้ามาตีตลาดราคาก็จะย่อมเยาลง แต่โดยรวมแล้วรถมอเตอร์ไซด์ที่เวียดนามยังราคาแพงกว่าบ้านเรา .... ได้เคยเอ่ยในเอนทรีก่อนหน้านี้ว่า สาวเวียดนามหน้าตาจิ้มลิ้มกัน ประมาณว่า ขี่รถผ่านไป 8 ใน 10 คัน จะมีหน้าตาสวยน่ารัก ผิวดีอีกด้วย
แถมยังแต่งกายดูดีอีกต่างหาก ... วี๊ดวิ่ว!
มีทั้งสกูตเตอร์, เวสป้า, มอเตอร์ไซด์แบบต่างๆ
ผ่านไปบางสี่แยก ขอบันทึกภาพ "คุณลุงโฮ" ภาพนี้ ซึ่งเป็นภาพที่ดูคุ้นตาและเขามีการปลูกฝังกับเด็กๆ ที่เคารพรักคุณลุงโฮตั้งแต่เด็ก และคุณลุงโฮเองก็เป็นคนที่รักเด็กมาก
มาถึงฮานอยกันแล้ว ขอพาเที่ยวชมไฮไลต์แต่ละอย่าง เริ่มต้นจาก "ทะเลสาบคืนดาบ" ซึ่งเป็นทะเลสาบใจกลางเมืองเก่าที่สวยงามและใหญ่ที่สุดในกรุงฮานอย โดยมีเรื่องเล่าต่อเนื่องกันมายาวนานว่า ในสมัยพระเจ้าเลโทไต ทำสงครามกับพวกหมิงจากจีน ต่อสู้กันยาวนานกว่า 10 ปี (พ.ศ. 1961 - 1971)
ได้มีเต่าศักดิ์สิทธิ์นำดาบมาถวายแด่พระองค์ ทำให้ทรงได้รับชัยชนะ หลังจากได้ปลดปล่อยประเทศเป็นอิสระแล้ว พระองค์ได้เสด็จลงเรือไปกลางทะเลสาบเพื่อนำดาบไปคืนแก่เต่าศักดิ์สิทธิ์ จึงเป็นที่มาของชื่อ "ทะเลสาบคืนดาบ" และที่เกาะกลางทะเลสาบยังมีหอคอยเล็กๆ ชื่อว่า "หอคอยเต่า" มีเต่าขนาดใหญ่อาศัยอยู่จนถึงทุกวันนี้
เดินชม "วัดเนินหยก" วัดศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองเวียดนาม ภายในประดิษฐาน "รูปเจ้าพ่อกวนอู" และ "ขงจื้อพร้อมศิษย์" และมีซากเต่าขนาดใหญ่ที่สตัฟฟ์ไว้ให้ชม 1 ตัว พร้อมดาบศักดิ์สิทธิ์จำลอง 1 เล่ม ใส่ตู้กระจกไว้ใกล้ๆ กัน
เดินเที่ยวชม "วิหารวรรณกรรม" ซึ่งสร้างในปี พ.ศ. 1637 เพื่ออุทิศแก่ขงจื้อ ทั้งยังเคยใช้เป็นสถานฝึกอบรมบรรดาขุนนาง และยังมีศิลาจารึกชื่อบรรดาผู้ที่สอบผ่านเป็นจอหงวนในสมัยนั้นด้วย
เดินข้าม "สะพานแสงอาทิตย์" สู่เกาะหยก ที่ได้พาเที่ยวชมแล้ว เดินกลับออกทางสะพานเดิมนี้อีกครั้ง
และเราก็เดินข้ามถนนมายัง "โรงละครแสดงหุ่นกระบอกน้ำ" (Thang Long Water Puppet Theather) มาติดตามในตอนต่อไปเร็วๆ นี้
กล้อง : Canon PowerShot A620