Disable Preloader




เที่ยว ซาปา หน้าหนาว ปะทะเมฆหมอกขาวตลอดทั้งวัน ฉันหลงรักเธอ : ตอนที่ 1

ย้อนกลับไปเมื่อ 3 ปีที่แล้ว ได้รู้จักเมือง "ซาปา" (Sa Pa) ครั้งแรก เมื่อได้ดูข่าวหิมะตกเมืองซาปา ประเทศเวียดนาม ทำให้รู้สึกประหลาดใจว่า หิมะตกที่เวียดนามด้วยเหรอ? จึงเริ่มสนใจอยากหาโอกาสไปท่องเที่ยวฤดูหนาวดูบ้าง

แต่พอไปศึกษาวิธีการเดินทางพบว่า จะต้องนั่งรถไฟออกเดินทางตอนหัวค่ำ และนอนบนรถไฟ มาตื่นตอนเช้ามืดที่จังหวัดลาวไค และนั่งรถมายังเมืองซาปาแห่งนี้ ทำให้รู้สึกทุลักทุเลอย่างบอกไม่ถูก จึงมองข้ามไปก่อน จนกระทั่งเมื่อปีที่ได้ ได้รับอีเมลจากทัวร์ที่ประเทศเวียดนามแจ้งข่าวว่า กำลังจะเปิดเส้นทางหลวงใหม่ สามารถเดินทางโดยรถอย่างสะดวกสบายมาถึงเมืองซาปาได้แล้ว ทำให้ปลายที่แล้วได้ผุดโปรเจคท่องเที่ยวซาปาขึ้นมา

ได้เชิญชวนญาติสนิทมิตรสหายไปตามล่าหาหิมะซาปากัน ในที่สุดก็มีสมาชิกร่วมเดินทางกัน 15 คน เมื่อเดินทางมาถึงในตอนค่ำ อากาศหนาวมาก

ไม่แปลกใจว่า ทำไมซาปาเป็นเมืองแห่งเสื้อกันหนาว "The North Face" หากใครมาถึงแต่ไม่ได้จัดเต็มเสื้อกันหนาวมาเพียงพอ ก็จัดหามาเพิ่มความอบอุ่นให้ร่างกาย หลากสีสันตามใจชอบ ... หนาวๆ แบบนี้ เลือกซักตัวซิครับ รออะไร? ... หลังจากช๊อปปิ้งแล้ว ก็ได้เวลาพักผ่อน ตื่นเช้ามาท่องเที่ยวกันต่อที่ ซาปา แห่งนี้ ซึ่งเราเลือกพักค้างคืนที่เมืองนี้ 2 คืน เพื่อเที่ยวพักผ่อนกันเต็มที่ ซึ่งมองเห็นทะเลหมอกอยู่นอกระเบียงห้องพักในค่ำคืนนี้ ซึ่งจะตื่นเช้ามาชมความงามกัน

ซึ่งเช้านี้ ตื่นมาด้วยความตื่นเต้นดีใจที่ได้เห็นทะเลเมฆหมอกแบบอลังการงานสร้างจากธรรมชาติ

มองเห็นทะเลเมฆที่สาดเข้ามาลูกแล้วลูกเล่า เหมือนคลื่นในทะเล

แม้แดดจะออก แต่ก็ยังมีเมฆลอยแบบนี้ตลอดทั้งวัน ยืนมองอยู่นานจนไม่อยากไปไหน แต่ทว่าคงจะพลาดการท่องเที่ยวในเมืองนี้ไปอย่างน่าเสียดาย เมืองซาปา ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศเวียดนาม ในเขตจังหวัดลาวไค ใกล้กับชายแดนจีน ภูมิประเทศตั้งอยู่บนระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง 1,650 เมตร จึงมีอากาศหนาวเย็นตลอดปี

เมื่อรับประทานอาหารเช้าเรียบร้อย ก็ได้เวลาเดินเท้าไปเที่ยวกัน เดินผ่านเส้นทางหลักมีร้านค้า โรงแรม ร้านอาหาร ตลอดทาง ซึ่งเมื่อคืนนี้พวกเราก็เดินฝ่าความหนาวมาแล้ว ซึ่งเช้านี้ก็ยังหนาวพอกัน แม้ว่าแดดจะแรง ฟ้าจะสีฟ้าคราม ถือว่าบรรยากาศดีมาก เหมาะแก่การถ่ายภาพท่องเที่ยวอย่างยิ่ง

ก่อนเดินทางมาถึง ฟ้าปิดมาตลอดทั้งสัปดาห์เพราะมีฝนตกตลอด จึงถือว่าโชคดีมากๆ มาถูกจังหวะพักฝน ทำให้ได้อากาศแบบนี้

ถือโอกาสเก็บภาพหมู่ไว้เป็นที่ระลึก ณ โบสถ์คริสต์เก่าแก่ ตั้งอยู่ใจกลางเมือง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แลนด์มาร์คของเมืองซาปาแห่งนี้ ก่อนเดินทางไปภูเขาฮามรอง

หรือจะเซลฟี่ย้อนแสงก็ยังไหว ... แสงสวย ช่วยได้เสมอ

หลังจากบันทึกภาพไว้เป็นที่ระลึกกันแล้ว ก็ได้เวลาเดินเท้ากันต่อซึ่งต้องเดินไปยังประตูทางเข้า เพื่อเดินเท้าขึ้นไปยัง ภูเขาฮามรอง ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวของเอกชน อัตราค่าเข้าชม 15,000 ด่อง

มีจุดชมวิวสำหรับชมเมือง "ซาปา" ได้เกือบรอบด้าน โดยทางสวนได้จัดเส้นทางไว้อย่างดีและมีจุดเที่ยวชม 11 จุดด้วยกัน ก็ขึ้นไปตามทางเดินปูนอย่างดี ซึ่งจะเข้าสู่บริเวณสวนกล้วยไม้ ที่ได้นำเอากล้วยไม้มาปลูกเลี้ยงเลียนแบบธรรมชาติไว้เกือบ 200 ชนิด

รวมทั้งไม้เมืองหนาวต่างๆ ทั้งผลไม้ และไม้ดอก

ทางด้านขวาสุดของสวนมีจุดชมวิวที่เห็นเมือง "ซาปา" ในเวลาเช้าอากาศดีๆ สามารถมองเห็นทะเลหมอก ซึ่งคลุม "ซาปา" ได้จากจุดนี้ ขึ้นไปด้านบนก็มีสวนดอกไม้ จุดชมการแสดงพื้นเมือง

และขึ้นไปจุดสูงสุดมองเห็นซาปาอีกด้าน การเดินเที่ยวบนภูเขาฮามรอง ใช้เวลาประมาณ 1 – 1.30 ชั่วโมง

มองเห็นตึกรามบ้านช่องออกสไตล์ยุโรป ที่ฝรั่งเศสเคยมาปลูกสร้างไว้ในช่วงที่ปกครองเวียดนาม จึงสร้างตามอิทธิพลของฝรั่งเศสให้เป็นเมืองตากอากาศ

ซาปา เมืองเล็กๆ แห่งนี้เริ่มต้นเป็นเมืองแห่งการพักผ่อน เมื่อฝรั่งเศสซึ่งปกครองเวียดนามอยู่ในขณะนั้น ได้มาสร้างสถานีบนภูเขาขึ้นในปี พ.ศ. 2465

จากนั้น จึงเริ่มมีชาวต่างชาติซึงอยู่ในฮานอย มาพักผ่อนในช่วงวันหยุดเป็นประจำ เพราะอากาศดีและเงียบสงบ จนเมื่อนักเดินทางได้รับข่าวและมาเห็นถึงบรรยากาศจริงๆ รวมไปถึงเหล่านักเดินทางจากทั่วโลกก็ได้รับสารเหล่านี้เช่นกัน

นั่นจึงทำให้ปัจจุบันที่นี่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ที่สำคัญนอกจากบรรยากาศแล้ว บรรดาชาวเขาที่อยู่บริเวณนี้ก็น่าสนใจไปเยี่ยมชมมากเช่นกัน พื้นที่ ซาปา เต็มไปด้วยนาขั้นบันไดที่มากมายท่ามกลางลาดไหล่เขาที่ทอดตัวอย่างมีเสน่ห์ ดูได้จากโปสการ์ดที่วางขาย จะมองเห็น "ซาปา" ในแต่ละช่วงฤดูกาล รวมทั้งช่วงที่มีหิมะตกขาวโพลนอีกด้วย

หรือถ้าชอบเดินป่าก็มียอดเขา ฟานสีปัน (Fansipan Mountain) ให้พิชิตบนความสูง 3,143 เมตร จากระดับน้ำทะเล ซึ่งสูงสุดในละแวกอินโดจีน จนได้ชื่อว่า "หลังคาแห่งอินโดจีน"

อากาศสดชื่น มีไม้ดอกผลิดอกสวยงาม ให้ได้เก็บภาพไว้เป็นที่ระลึกกัน ซึ่งเป็นสถานที่ื่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สวยงาม ทั้งที่ไม่ไกลจากเมืองไทยบ้านเรา

ช่วงกลางคืนก็มีอีกบรรยากาศที่เป็นเอกลักษณ์ของที่นี่ เพราะจะมีแม่ค้านำข้าวโพด เกาลัด มัน มาปิ้งกันร้อนๆ ไว้รอบริการ โดยมีม้านั่งเตี้ยไห้นั่งรับไออุ่น ส่วนใครชอบอ้อยควั่นก็มีให้เลือกในอัตราทุกอย่าง 2,000 ด่อง มีอยู่สองจุดใหญ่ คือ หน้าโบสถ์คริสต์กับตลาดใหม่อยู่เยื้องกัน

มีลานกว้างสำหรับทำกิจกรรม ซึ่งในช่วงค่ำจะมีผู้คนจำนวนมากมาย แต่ช่วงเที่ยงเช่นนี้ ก็ได้เวลาอาหารกลางวันของพวกเรา

หลังจากรับประทานอาหารกันแล้ว ก็ได้เวลากาแฟและขนมหวานปิดท้ายกัน

จากนั้น ก็ได้เวลาเดินเท้ากันต่อ เพื่อกลับไปยังโรงแรม มองเห็นพ่อค้าแม่ค้าวางขายของกัน 

มองไปรอบๆ ก็ยังเห็นเมฆคล้อยลอยต่ำที่ยังพัดผ่านไปมา แม้ว่าแดดจะแรงในช่วงบ่ายแล้วก็ตาม

ซึ่งบ่ายวันนี้ พวกเรายังต้องเดินทางไปเที่ยวกันต่อที่ หมู่บ้านกั๊ตกั๊ต (Cat Cat Village) ซึ่งมีชาวเขาอยู่อาศัย และห่างจากเมืองซาปาไปประมาณ 3 กิโลเมตร และในเอนทรีถัดไปจะพาไปเที่ยวชมกัน

เดินกลับมาถึงโรงแรม Bamboo Sa Pa เพื่อเตรียมขึ้นรถไปท่องเที่ยวกันต่อ ไว้มาเที่ยวกันต่อเร็วๆ นี้นะ