หลังจากรับประทานอาหารที่ภัตตาคารและคุยกันสนุกสนาน ก็ได้เวลาเดินกลับมาที่โรงแรม เพื่อขึ้นรถบัสที่จะพาพวกเราไปยังหมู่บ้านกั๊ต กั๊ต (Cat Cat Village) หรือหมายถึง หมู่บ้านม้งดำ ซึ่งอยู่ห่างออกไปราว 3 กิโลเมตร
คำว่า “กั๊ต กั๊ต” นั้นเป็นคำที่ใช้เรียก รถขับเคลื่อนสี่ล้อ (4-Wheel Drive) ของพวกฝรั่งเศสที่เข้ามาบุกเบิกทำกระแสไฟฟ้าพลังน้ำบริเวณน้ำตกที่มีสายน้ำ 3 สายไหลมาบรรจบกันในหมู่บ้านแห่งนี้
มาถึงทางเข้าหมู่บ้าน กั๊ต กั๊ต จะเจอด่านที่เก็บค่าธรรมเนียมเข้าชมคนละประมาณ 10 บาท ซึ่งการเข้าชมหมู่บ้านจะต้องใช้การเดินเท้าเท่านั้น เป็นการไม่ให้รถเข้าไปรบกวนวิถีชีวิตของชาวม้งดำที่นี่ จึงต้องจอดรถตู้หรือรถจักรยานยนต์ที่โดยสารมาอยู่ที่หน้าหมู่บ้าน
หมู่บ้านนี้เป็นที่อยู่อาศัยของชาวม้งดำ ซึ่งเป็นกลุ่มย่อยกลุ่มหนึ่งของชาวม้ง คำว่า “ม้ง” (Hmong) เป็นชื่อที่ชาวม้งใช้เรียกตัวเอง กล่าวกันว่าหมายถึง “อิสระชน” (Liberal Man) แต่ถิ่นกำเนิดของชาวม้งไม่อาจระบุให้ชัดเจนได้ เท่าที่พอจะสืบค้นได้ คือ แต่เดิมอาศัยอยู่ที่ลุ่มแม่น้ำแยงซีเกียง เมื่ออพยพลงมาถึงมณฑลยูนนานและกวางสี ก็ลงใต้มาเรื่อยๆ ถึงแถบภูเขาในประเทศเวียดนาม ลาว และ ไทย
สำหรับชาวม้งดำ ในปัจจุบันถือเป็นประชากรหลักกลุ่มหนึ่งของซาปา มีจำนวนใกล้เคียงกับชาวเย้า และสภาพโดยทั่วไปของหมู่บ้านเป็นนาขั้นบันไดสลับซับซ้อนสวยงาม มีบ้านสร้างอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม ส่วนใหญ่เป็นบ้านชั้นเดียวมีประตูแต่ไม่มีหน้าต่าง สร้างด้วยไม้เป็นหลักและมุงหลังคาด้วยกระเบื้องลอนสำเร็จรูป แต่ก็มีบางบ้านที่เป็น 2 ชั้น และก่ออิฐถือปูนตามแบบสมัยใหม่
ภายในบ้านของชาวม้งแบบดั้งเดิมนั้น จะมีพื้นที่แบ่งออกเป็นส่วนๆ ได้แก่ ตรงกลางบ้านจะมีเตาไฟเล็ก ก่อที่พื้นดินสำหรับผิงไฟหุงหาอาหารในชีวิตประจำวันหรือต้มน้ำชา และเป็นที่นั่งรับแขกไปด้วย ส่วนที่สอง ได้แก่ ครัวใหญ่ ซึ่งใช้ดินก่อขึ้นมาเป็นสี่เหลี่ยมด้านเท่า ซึ่งเตาไฟใหญ่นี้ใช้สำหรับเวลามีงานเลี้ยงคนมามาก หรือไว้สำหรับเตรียมเนื้อสัตว์ที่ล้มมาเพื่อปรุงเป็นอาหารต่อไป
จากภาพก่อนหน้านี้ จะมองเห็นจุดเล็กๆ อยู่ไกลในภาพ ซึ่งเลื่อนไปมา และลองซูมไปจะมองเห็นกระเช้าไฟฟ้านั่นเอง ซึ่งเป็นกระเช้าไฟฟ้าขึ้นไปยังยอดเขาฟานสีปัน (Fan Si Pan Mountain) ซึ่งยังอยู่ระหว่างการก่อสร้าง และยังไม่เปิดให้บริการในตอนที่เราไป พวกเราจึงตั้งเป้าหมายว่า จะกลับมาเที่ยวอีกเมื่อกระเช้าไฟฟ้าเปิดให้บริการ
ซึ่งได้ทราบภายหลังว่าปัจจุบันได้เปิดให้บริการแล้วเมื่อ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 ที่ผ่านมา เป็นระบบรถกระเช้าสามสาย สายยาวที่สุดในเวียดนาม รวมระยะทาง 6.3 กม. สถานีสุดท้ายอยู่สูงจากระดับน้ำทะเลราว 3,000 เมตร จากนั้นต้องปีนบันไดอีก 600 ขั้น เพื่อไปถึงยอดเขา ซึ่งค่าตั๋วอยู่ที่ประมาณ 1,000 บาท ต่อคน (600,000 ด่ง) โดยรถกระเช้าแต่ละคันนั่งได้ 35 คน ใช้เวลาเดินทางประมาณ 15 นาที เทียบกับการเดินเท้าขึ้นเขา ที่จะต้องใช้เวลาเกือบทั้งวัน ทั้งระบบขนส่งผู้โดยสารได้ 2,000 คนต่อวัน
แต่สำหรับวันนี้ พวกเราก็ขอชื่นชมความงามของทิวทัศน์ที่สวยงามรอบตัวกันไปพลางๆ ก่อน แถมอากาศเย็นสบาย สูดสดชื่นเต็มปอด
และเดินชมบรรยากาศสองข้างทาง ซึ่งก็มีร้านค้าของที่ระลึกตั้งอยู่ ซึ่งที่หมู่บ้านม้งดำนี้ ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม ได้แก่ ปลูกนาข้าวขั้นบันได ปลูกข้าวโพด เลี้ยงสัตว์ เป็นต้น แต่เมื่อการท่องเที่ยวเริ่มไหลบ่าเข้าไป ก็มีร้านค้าขายน้ำดื่ม น้ำอัดลมต่างๆ รวมทั้งขายและผลิตงานฝีมือพวกเครื่องเงิน เสื้อผ้า และงานหัตถกรรม หลายบ้านปรับปรุงไว้ต้อนรับนักท่องเที่ยว โดยจำลองชีวิตการเป็นอยู่ของชาวม้งดำ แต่สังเกตได้ว่าพื้นที่บางส่วนไม่ได้ใช้งานจริง และปรับบ้านให้เป็นร้านค้าขายผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น ภาชนะจากไม้ไผ่ โคมไฟ เป็นต้น ซึ่งติดป้ายราคาไว้ชัดเจนและค่อนข้างแพง
อีกส่วนหนึ่งใช้เป็นที่เก็บพืชผล เช่น ข้าว ข้าวโพด ฟักทอง ซึ่งบริเวณนี้จะมีครกกระเดื่อง สำหรับตำข้าวอยู่ด้วย บางหลังอาจทำชั้นใต้หลังคาไว้เป็นที่เก็บของฝั่งหนึ่ง และห้องนอนอีกฝั่งหนึ่ง
เมื่อเดินเข้าไปในหมู่บ้านม้งดำ สิ่งแรกที่สังเกตได้ชัดเจนคือ ไม่ค่อยเห็นผู้ชาย จะเห็นก็แต่ผู้หญิงและเด็กเล็กจำนวนมาก ซึ่งประกอบอาชีพค้าขาย ทำหัตถกรรมอยู่กับบ้าน หรือไม่ก็เดินเท้าออกไปทำงานในนาในไร่ พร้อมกับเลี้ยงลูกไปด้วย แม่ค้าที่อยู่ในร้านหรือเด็กๆที่เดินตามมาขายของนั้น สามารถพูดภาษาอังกฤษแบบพื้นฐานโต้ตอบกับนักท่องเที่ยวได้ และเมื่อเดินมาเรื่อยๆ จะมองเห็นลำธารและน้ำตก เพิ่มความชุ่มฉ่ำในการท่องเที่ยว
เป็นความลงตัวของสถานที่ท่องเที่ยว ได้เห็นทั้งวิถีชีวิตและธรรมชาติ ช่วยให้หายเหนื่อยจากการเดินแบบปลิดทิ้ง
เขียวสวยสดชื่นทั้งภาพฉากหน้า และภูเขาฉากหลังที่ยังเป็นป่าไม้ที่ยังสมบูรณ์ ต้องชื่นชมจริงๆ เห็นแล้วต้องคิดในใจแบบดังๆ ว่า อิจฉาธรรมชาติของเวียดนามที่ยังอุดมสมบูรณ์
ขอบันทึกภาพความสุข ความสนุก ในการมาท่องเที่ยวกันไว้ และจะไปเที่ยวทริปอื่นๆ กันอีก
จากนั้นพวกเราก็เดินกันต่ออีกไม่ไกลนัก ก็มาถึงจุดนัดพบที่รถบัสมาจอดรอรับกลับไปยังโรงแรม แต่ระหว่างทาง 3 กิโลเมตร นั้น ทำเอาพวกเราตื่นตาตื่นใจไปกับภาพบรรยากาศนอกรถ ช่างเป็นความสวยงามที่ธรรมชาติมอบให้เป็นของขวัญของการมาท่องเที่ยวในทริปนี้
และเมื่อมาถึงโรงแรม ภาพที่อยู่ตรงหน้าทำเอาอยู่ไม่สุข หยิบโทรศัพท์มือถือมาเก็บภาพถ่ายไว้แบบสนุกมือ
เมฆหมอกขาวที่ยังคงไหลเลื่อนเคลื่อนผ่านไป ซึ่งเป็นภาพที่ไม่ได้เห็นบ่อยนัก
เมื่อดวงตะวันเริ่มลดระดับลง แอบซ่อนตัวหลังเทือกเขาฟานสีปัน (Fan Si Pan Mountain) พร้อมแสงสีส้มทองลอดผ่าน
เริ่มมืดลงซึ่งพวกเราก็เตรียมตัวไปรับประทานอาหารค่ำกันที่ภัตตาคารที่อยู่ใกล้ๆ
ในภัตตาคารแห่งนั้น มีภาพถ่ายเมืองซาปา เมื่อ 2 ปีก่อน ที่มีหิมะโปรยปรายทั่วเมืองแห่งนี้ จะมองเห็นเทือกเขาสีขาวโพลนไปทั่ว
ซึ่งเราลองดูพยากรณ์อากาศ พบว่าอีก 5 วัน ข้างหน้า จะมีหิมะตกที่ซาปาด้วย
แอบเสียดายว่า กะผิดไป 1 สัปดาห์ที่จะมาตามหาหิมะตกที่ซาปา แต่ทว่า พวกเราก็ได้ภาพบรรยากาศสวยงาม ฟ้าใสไร้ฝน มาแทนก็มีวความสุขและความประทับใจอย่างเต็มเปี่ยม และยังสนุกในการช้อปปิ้งกันหลังจากรับประทานอาหารค่ำกันแล้ว
ในเช้าวันรุ่งขึ้น พวกเรายังเดินทางไปเที่ยวกันต่อที่ น้ำตกซิลเวอร์ (Silver Waterfall) หรือในภาษาเวียดนามเรียกว่า "Thac Bac" ด้วยความสูงกว่า 100 เมตร แต่ช่วงนี้น้ำอาจมีน้อย แต่ก็ได้ฉากหลังฟ้าสวย ช่วยให้ถ่ายภาพได้สวยงาม ซึ่งในฤดูฝนน้ำจะไหลแรงทะลักลงมาอย่างน่าเกรงขาม
ถือโอกาสนำขนมที่ซื้อมาจากเมืองไทยมาฝากเด็กๆ และถ่ายภาพกับหนูน้อยชาวม้งดำ ซึ่งจะแต่งกายเป็นเอกลักษณ์ตามชื่อ คือ สวมเสื้อผ้าทอมือ แล้วย้อมจนเป็นสีดำสนิท ผู้หญิงม้งดำจะแต่งกายโดยใส่เสื้อแขนยาวเข้ารูปสีดำ สวมหมวกเป็นทรงกระบอกสีดำ นุ่งกางเกงขากว้างสีดำคลุมเข่า ทับด้วยผ้ากันเปื้อนสีเข้ม บางครั้งก็คาดเอวด้วยผ้าลายปักหลากสีทับอีกที ต่ำลงไปมีผ้าพันแข้งสีดำกันหนามเกี่ยวเวลาทำงานกลางแจ้ง
จากนั้น รถบัสของพวกเราก็พากลับมารับประทานอาหารกลางวันก่อน ก่อนเดินทางออกจากเมืองซาปา กลับเข้าสู่ กรุงฮานอย ซึ่งเราจะพักค้างคืนและท่องเที่ยวกันต่ออีกตลอดทั้งวันในวันพรุ่งนี้
ระหว่างทางก็หยุดพัก ถ่ายภาพกันเป็นที่ระลึกของเพื่อนร่วมทางอย่างสนุกสนาน
เก็บบันทึกความประทับใจไว้อย่างเต็มที่ และตั้งใจจะกลับมาเที่ยวอีกอย่างแน่นอน
อยากกลับมาเช็คอินพร้อมแชร์ความสุข เชิญชวนเพื่อนๆ ให้มาท่องเที่ยวกัน แล้วจะหลงรัก "ซาปา" เหมือนกัน
ต้องขอขอบคุณสำหรับข้อมูลประกอบที่ได้มาจากอินเตอร์เน็ต เพื่อเป็นข้อมูลมาแบ่งปันความสุข แบ่งปันเนื้อหากันในสังคมการแบ่งปัน