DAY 1
Apr 13 2018
เริ่มต้นการเดินทางในซีรีส์ "ร้อนนัก ไปพักร้อน 2018" ด้วยการจิบกาแฟ ร้านเดิม ที่นั่งเดิมพร้อมแล้วสำหรับการเดินทาง แต่รอเวลาเช็คอิน
เข้าแถวรอทำเช็คอิน บินไป เมืองอิสตันบูล (Istanbul) ประเทศตุรกี (Turkey) โดยเที่ยวบินที่ TK 069 (ใช้เวลาเดินทาง 10 ชั่วโมง 20 นาที)
กำลังเดินไปที่ Gate G3 หลังจากอิ่มอร่อยกับของฟรี ล้างหน้า แปรงฟัน เรียบร้อย
พร้อมแล้วที่จะออกเดินทางด้วยสายการบิน Turkish Airlines แล้ว (สะสมไมล์ ROP ได้ด้วยนะ)
Ready on board .. bound for Ataturk International Airport เมืองอิสตันบูล (Istanbul) ประเทศตุรกี (Turkey) แค่แวะเปลี่ยนเครื่องแป๊บนึง ก่อนบินต่อไป กรุงซาเกร็บ (Zagreb) ประเทศโครเอเชีย (Croatia) ด้วยเที่ยวบินที่ TK 1053 (ใช้เวลาเดินทาง 2 ชั่วโมง 15 นาที)
พอเครื่องขึ้นไม่นาน ก็เสริฟอาหารเที่ยงคืน และขอมอมเหล้าตัวเองด้วยไวน์แดง จะได้หลับสนิท
DAY 2
Apr 14 2018
ตื่นมาทานมื้อเช้าก่อนเครื่องลงที่เมืองอิสตันบูล และเจอแถวผ่านเครื่องสแกนเพื่อไปต่อเครื่อง (Transit) ยาวและคนเยอะมา แถมยังต้องไป Gate 201 ที่อีกฟากของสนามบิน ทำเอาต้องเดินเร็วอย่างเร่งรีบ มาขึ้นเครื่องได้ทันทานอาหารเช้าอีกมื้อ ทั้งที่เพิ่งทานก่อนถึง อิสตันบูล แต่ก็สบายมาก ตุนแรงไว้เดินตลอดวัน
ออกจาก ท่าอากาศยานนานาชาติพลีโซ “Pleso International Airport” กรุงซาเกร็บ (Zagreb) ประเทศโครเอเชีย (Croatia) ก็ขึ้นรถบัสที่มารอรับ เริ่มต้นการท่องเที่ยวในทันที
เริ่มจากการเข้าร้านรับแลกเงิน เพื่อแลกจากเงินยูโรเป็นเงินสกุล "คูนา" ก่อน แนะนำให้แลกทีละน้อยๆ อย่าง 50 ยูโร หมดแล้วค่อยแลกใหม่ มีร้านรับแลกเงินตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ เพราะถ้าแลกไว้มากๆ หากแลกคืนจะขาดทุนมาก อีกทั้งบางร้านยังรับเป็นเงินยูโรอีกด้วย
เดินมาถึง มหาวิหารซาเกรบ “Zagreb Cathedral” ที่มีอายุเก่าแก่กว่า 800 ปี ที่ปัจจุบันบูรณะซ่อมแซมใหม่ในสไตล์ นีโอ-โกธิค งดงามด้วยหอคอยแฝดปลายแหลมสีทองอร่าม ภายในประดิษฐานรูปนักบุญ องค์สำคัญๆ ต่างๆ อาทิเช่น นักบุญ เซนต์ปีเตอร์ เซนต์ปอลล์ เป็นต้น
เดินผ่านตลาดที่มาขายสินค้าพืชผัก ผลไม้ คึกคัก
ชมอนุสาวรีย์ “Ban Jelačić Square” ผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ซึ่งต่อสู้เพื่อความอิสระจากชาวฮังการีเมื่อปี ค.ศ. 1848 เดินต่อเพื่อไปยังประตูเมืองเก่า ก็อดเก็บภาพบรรยากาศข้างทางไปเรื่อยๆ ไม่ได้
เดินผ่านประตูเมืองเก่า ก็จะมาถึง โบสถ์เซนต์มาร์ค “St. Mark’s Church” ซึ่งสร้างมาตั้งแต่ก่อนศตวรรษที่ 13 ผสมผสานศิลปะหลากหลายเข้าด้วยกัน คือ แบบโรมาเนสก์ ที่บริเวณด้านทิศใต้
ต่อมาในศตวรรษที่ 14 โบสถ์ถูกสร้างใหม่ในรูปแบบศิลปะโกธิค ที่น่าสนใจมากก็คือ ส่วนหลังคาโบสถ์ ที่เรียงแผ่นปูหลังคาเป็นรูปสัญลักษณ์ของกองทัพซาเกร็บ (ปราสาทสีขาวบนพื้นหลังสีแดง)
เพียงไม่กี่ก้าว ก็มาถึงจุดชมวิวมุมสูง มองเห็นตัวเมืองซาเกร็บอย่างสวยงาม
เดินทางลงจาก ย่านเมืองเก่า “Upper Town” แวะให้ท่านขึ้นไปยังจุดชมวิว ที่จะทำให้สามารถมองเห็น เมืองซาเกรบ (Zagreb) ที่หลังคาอาคารเป็นสีแดงอิฐทั้งเมือง มองเห็นรถรางขึ้นเขาที่สั้นที่สุดในยุโรประยะทางเพียง 66 เมตร
จากย่านเมืองเก่า เราก็เดินมายังย่านเมืองใหม่ มีรถรางไฟฟ้าสำหรับโดยสารระหว่างย่านเมืองเก่าและใหม่
มีสวนสาธาระใหญ่ พร้อมสีสันของไม้ดอกต่างๆ ที่กำลังบอกว่า เข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิกันแล้วนะ
ดินกันต่อเพื่อไปขึ้นรถบัส เพื่อไปทานข้าวเที่ยงกันก่อน ย้อนกลับมาเดินเที่ยวย่านนี้กันในช่วงบ่าย ในเมืองนี้มีการใช้รถรางไฟฟ้าซึ่งเป็นระบบขนส่งสาธารณะที่สะดวก ไร้มลพิษ
หลังจากเติมพลังจากอาหารเที่ยงแลเว ก็มาเริ่มเดินกันต่อ จึงรีบเดินไปที่โบสถ์ที่ตั้งใจจะเข้าไปเมื่อช่วงเข้าแต่มีพิธีกรรมภายใน จะยังไม่ได้เข้าไป บ่ายนี้เจ้าหน้าที่บอกอีก 30 นาที จะพร้อมให้เข้าไปเยี่ยมชม
เดินเก็บภาพบรรยากาศภายนอกในวันแดดดี แล้วค่อยย้อนกลับมาเข้าไปชมภายในกัน เนื่องจากขณะนี้ยังมีการประกอบพิธีกรรมทางศาสนาคริสต์กันอยู่
เดินซื้อลูกฟิก หรือ มะเดื่อฝรั่ง ซึ่งลูกฟิก (Figs) มีใยอาหารสูงมากกว่าผักและผลไม้ใดๆ มีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อนๆ ช่วยในระบบขับถ่าย กำจัดของเสียออกจากร่างกาย ลดอาการท้องผูกอีกด้วย นอกจากนี้ยังซื้อสตรอเบอรี่ แถมเดินชมไปทั่วตลาดกลางเมือง “Dolac Market” ตลาดกลางแจ้งที่เก่าแก่ มีสีสันสดใส ขายไม้ดอกไม้ประดับและผลไม้ราคาถูกมาก
วันนี้ถือเป็นวันหยุดและแดดดี อากาศอุ่น ผู้คนจึงออกมาจิบขิลชิล และทานอาหารกันอย่างคึกคัก
เดินเที่ยวโดยรอบๆ ก่อนเดินกลับไปทีโบสถ์
ด้วยหอคอยแฝดปลายแหลมสีทองอร่าม ภายในประดิษฐานรูปนักบุญองค์สำคัญๆ ต่างๆ อาทิเช่น นักบุญ เซนต์ปีเตอร์ เซนต์ปอลล์ เป็นต้น เสียดายที่ปิดซ่อมไปหนึ่งหอคอย แต่ภายในมีความสวยงาม
เดินกลับมาจุดนัดพบ เพื่อขึ้นรถบัสไปอุทยานแห่งชาติทะเลสาบพลิทวิตเซ่ “Plitvice Lakes National Park” ที่เราจะนอนค้างในโรงแรมในอุทยานและเที่ยวในวันพรุ่งนี้
ด้วยระยะทาง 104 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที ก็มาถึง หมู่บ้านรัสต็อคเก้ “Rastoke Village”
หมู่บ้านรัสต็อคเก้ “Rastoke Village” หรือ หมู่บ้านแห่งกังหัน ตั้งอยู่เหนือ แม่น้ำสลุนด์ชิชา “Slunjčica river” ที่ไหลลงสู่ น้ำตกโคราน่า “Korana Waterfall” แวะชมหมู่บ้านเล็กๆ ที่มีวิถีชีวิตแบบดั้งเดิม
ปัจจุบันมีบ้านของชาวพื้นเมืองประมาณ 30 หลังคาเรือน ยังคงอาศัยในหมู่บ้านรัสต็อคเก้ “Rastoke Village” และยังคงทำ โรงโม่แป้ง จากกระแสน้ำ ไหลตามธรรมชาติ ผ่านกลไกเพื่อหมุนขับเฟือง
เดินทางต่อผ่านชมธรรมชาติและความงามของทิวทัศน์สองข้างทางที่รายล้อมด้วยป่าเขา สลับทุ่งหญ้า ฟาร์มเกษตรที่อุดมสมบูรณ์ สู่ อุทยานแห่งชาติทะเลสาบพลิทวิตเซ่ “Plitvice Lakes National Park” (ระยะทาง 33 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 30 นาที)
มาถึงโรงแรม Jazero Hotel ซึ่งเป็นโรงแรมที่ดีที่สุดในอุทยานแห่งนี้ และได้ชิมปลาเทร้าย่างที่สดอร่อย เตรียมพักผ่อน เพื่อเติมพลังในการเดินในวันพรุ่งนี้
DAY 3
Apr 15 2018
เช้านี้เดินเล่นหลังโรงแรม จะพบกับทางเข้าอุทยาน จึงเก็บภาพและสูดอากาศสดชื่น ก่อนเดินกลับไปทานอาหารเช้าในเวลา 7:00 น.จากนั้นเราก็มาพร้อมกันที่หน้าทางเข้าราว 8:00 น. ซึ่งเราจะเดินเท้าเข้าไปเที่ยวกัน ใช้เวลารวม 3 ชั่วโมง โดยมา local guide พาเที่ยว เริ่มจากการล่องเรือเข้าไปยังจุดเริ่มเดินไปยังไฮไลท์สำคัญ ล่องเรือข้ามทะเลสาบ Kozjak เป็นทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในอุทยาน ชมความงามของอุทยานตอนล่างและชมความงดงามของ Big Waterfalls สัมผัสถึงบรรยากาศของสายน้ำอันชื่นฉ่ำ บนพื้นน้ำสีคราม และเกาะแก่งในทะเลสาบ ตลอดจนไม้ป่าจำพวกสนและเฟอร์ เพลิดเพลินกับธรรมชาติที่สวยงามและอุดมสมบูรณ์
สำหรับโปรแกรม 3 ชั่วโมง ถือเป็นระดับกลาง เพราะถ้าเที่ยวแบบครบ ต้องใช้เวลาราว 8 ชั่วโมง และยังมีโปรแกรมเร่งรัดใช้เวลาราว 1 ชั่วโมงกว่าๆ (ซึ่ง 3 ชั่วโมง ถือว่าครบถ้วนส่วนสำคัญที่ห้ามพลาดแล้ว)
อุทยานแห่งชาติพลิตวิเซ่ เจเซร่า (Plitvice Jezera National Park) ที่ตั้งอยู่ใจกลางของอุทยานแห่งชาติพลิตวิเซ่ และเป็นอุทยานแห่งชาติ ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การ UNESCO เมื่อปี ค.ศ. 1979
อุทยานแห่งนี้มีเนื้อที่กว่า 29,482 เฮคเตอร์ พื้นที่ส่วนใหญ่ปกคลุมด้วยน้ำมีทะเลสาบสีเขียวมรกตและสีฟ้า รวมกันถึง 16 ทะเลสาบ เชื่อมต่อกันด้วยทางเดินสะพานไม้ลัดเลาะระหว่างทะเลสาบและเนินเขา
อุทยานแห่งชาติพลิตวิเซ่ พื้นที่ส่วนใหญ่ปกคลุมด้วยน้ำมีทะเลสาบสีเขียวมรกตและสีฟ้า เชื่อมต่อกันด้วยทางเดินสะพานไม้ลัดเลาะระหว่างทะเลสาบและเนินเขา ความงามของทะเลสาบและน้ำตกที่ไหลรวยริน ลงสู่ทะเลสาบทั่วทุกหนทุกแห่ง ชมฝูงปลาแหวกว่ายในสระน้ำใสราวกระจกสะท้อนสีครามของท้องฟ้า แวดล้อมไปด้วยหุบเขา ต้นไม้ใหญ่ที่ร่มรื่น สงบสุข
ดีใจที่ทำสำเร็จ ตั้งใจไว้นานที่อยากจะมาสถานที่แห่งนี้ ตั้งแต่ที่ได้ดูรูปจากฟอร์เวิร์ดเมล์กว่า 10 ปีที่แล้ว
อุทยานแห่งชาติพลิตวิเซ่ มีต้นกำเนิดมาจากน้ำในภูเขามาลาคาเปลา ที่กัดเซาะชั้นหินปูนและก้อนหินโดโลไมท์มาเป็นระยะเวลานานหลายพันปี ทำให้หินปูนถูกกัดเซาะ ไหลไปกองรวมกันเป็นระยะ เกิดเป็นเขื่อนธรรมชาติ มีความสูงลดหลั่นกันลงไป จากการทับถมของตะกอนที่มีแร่ธาตุแคลเซี่ยม คาร์บอเนต ทำให้เกิดความมหัศจรรย์ของสายน้ำ เกิดเป็นคราบหินปูนที่ก่อตัวเป็นแนวกั้นทะเลสาบก่อเกิดน้ำตกน้อยใหญ่ ที่เกิดจากการขยายตัวของคราบหินปูนทีละเล็กละน้อย มันจะค่อยๆโตประมาณปีละหนึ่งเซ็นติเมตร พลิตวิเซ่ จะเปลี่ยนโฉมหน้าตัวเองไปเรื่อยตามการทับถมของหินคาร์บอเนต จนก่อเกิดเป็นน้ำตกที่ไหลลงสู่ทะเลสาบสีเขียวมรกตและสีฟ้าเทอร์ควอยซ์แวววาวภายในอุทยานถึง 16 แห่ง โดยเป็นสีที่เกิดจากการผสมผสานกันของแร่ธาตุต่างๆ และน้ำพุร้อนใต้ผืนดินแห่งนี้ ซึ่งแต่ละแห่งเชื่อมต่อกันด้วยสะพานไม้ที่ลัดเลาะผ่านผืนน้ำ ต้นไม้ใหญ่ที่เขียวชอุ่ม และเนินเขาน้อยใหญ่ที่รายล้อมอุทยาน จึงทำให้ที่นี่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมอีกแห่งในโครเอเชีย
นี่มันสวรรค์บนดินชัดๆ ไม่ใช่คอมพิวเตอร์กราฟิคในภาพยนตร์แต่อย่างใด ธรรมชาติสร้างสรรค์ความสวยงามที่ยิ่งใหญ่อลังการ
เดินเลาะไปตามทางเดินไม้ ก็พบกับน้ำตกที่สวยและยิ่งใหญ่มาก ยืนใกล้และรับละอองน้ำอย่างเต็มที่ เปียกปอนแต่ก็เต็มใจให้ชุ่มชื่น
ได้หมด ... ถ้าสดชื่น
เดินเท้ากันต่อขึ้นไปมองจากมุมสูง ยิ่งสูง ยิ่งสวย ทำทางเดินได้ดีมากๆ ช่วยให้ไม่เหนื่อยเลย เพราะเดินไปก็หยุดถ่ายรูปไป เพื่อหยุดพักไปด้วย
ออกจากอุทยานแล้ว เดินทางต่อไปรับประทานอาหารกลางวัน ซึ่งทานหมูย่าง อร่อยมาก และไม่ไกลนักจากอุทยาน
เดินทางสู่ เมืองซาดาร์ (Zadar) (ระยะทาง 149 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง 30 นาที) เมืองท่าสำคัญริมทะเลเอเดรียติก “Adriatic Sea” ใน แคว้นดัลเมเชีย (Dalmatia)
เป็นเมืองเก่าแก่มีอายุกว่า 3,000 ปี มาแล้วตั้งแต่สมัยโรมันเรืองอำนาจจนถึงปัจจุบัน ไม่ว่าจะอยู่ส่วนไหนของเมือง ก็สามารถมองเห็นร่องรอยของอารยธรรมโรมันได้ทั่วไป
ชม โบสถ์เซนต์โดแนท “The Church of St. Donatus” สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 9 และเป็นโบสถ์ไบเซนไทน์ที่ใหญ่ที่สุดแห่งแคว้นดัลเมเชีย (Dalmatia) ถือว่าโบสถ์แห่งนี้เป็นเสมือนสัญลักษณ์ของเมืองซาดาร์ (Zadar) อีกด้วย
มองเห็นช่องเล็กๆ นั้นคือ Sea Organ ไว้คอยดักลมทะเลผ่านมา จะเกิดเสียงเพลงคล้ายหลักการเป่าเม้าท์ออแกนนั่นเอง เรายังคงเดินเล่นไปเรื่อยๆ แวะซื้อไอศกรีมและพิซซ่ามาแบ่งกันหม่ำอย่างสนุกสนานกัน
ชม โรมันฟอรัม “Roman Forum” ซึ่งสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 1 มีความยาวประมาณ 90 เมตร และกว้าง 45 เมตร ปัจจุบันยังคงหลงเหลือซากสิ่งก่อสร้างในยุคโรมัน ณ ที่แห่งนี้
เดินไป กินพิซซ่าไป แกล้มไอศกรีมเจลาโต้ไป ถือเป็นเมืองน่ารักเมืองหนึ่ง ผู้คนไม่พลุกพล่านนัก ทำให้เดินเที่ยวได้สบายๆ พร้อมอากาศที่เย็นสบาย
เดินทางต่อสู่ เมืองซีเบนิค (Sibinik) (ระยะทาง 88 กิโลเมตรใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง) เมืองเก่าริมฝั่ง ทะเลเอเดรียติก“Adriatic Sea” ได้รับอิทธิพลสถาปัตยกรรมจากเวนิส (Venice)
เมืองซีเบนิค (Sibenik) เมืองที่เป็นท่าเรือน้ำลึกบริเวณปากแม่น้ำครึกคา “Krka River” ได้รับอิทธิพลทางสถาปัตยกรรมจากอิตาลี (Italy) และได้รับการพูดถึงในประวัติศาสตร์ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1066 ในแผนผังราชวงศ์ของกษัตริย์พีทาร์เครสซิเมียร์ ที่ 4 (King Petar Kresimiriv) สร้างขึ้นในราวศตวรรษที่ 9 และ 10 โดยเจ้าชายชาวโครแอท
มหาวิหารเซ็นต์เจมส์ “Cathedral of St. James” ที่ผสมผสานสถาปัตยกรรมอิตาเลียนดัลเมเชี่ยน ได้อย่างลงตัว งดงามด้วยยอดโดม และหลังคาที่ประดับแผ่นหิน
ถือเป็นเมืองที่เก่าแก่ที่สุดเมืองหนึ่งของของโครเอเชีย (Croatia) เมืองนี้องค์การ UNESCO ได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเมื่อปี ค.ศ. 1997
เดินไปตามตรอกซอกซอยเล็กๆ มีความคล้ายคลึงกับเมืองเวนิส (Venice)
หากใครชื่นชอบประตูสวยๆ เก่าแก่ โดยเฉพาะสีเขียว สามารถพบเห็นได้ง่าย จะมีอยู่มากมายตลอดทางเดิน มองหามุมถ่ายรูปไปเรื่อยๆ เพลิดเพลินมาก
ได้เวลาอาหารค่ำ ซึ่งรับประทานกันที่ภัตตาคารในเมืองนี้ กับเมนูไก่อบเนื้อนุ่ม แกล้มกับมันฝรั่งจนอิ่มอร่อย ก่อนจะเดินทางไปที่โรงแรม
เก็บความประทับใจในเมืองซีเบนิค (Sibenik) เมืองน่ารัก ริมทะเล สงบและสวยงาม
มาถึงโรงแรม Panorama Hotel ชมวิวแบบพาโนรามา จากริมระเบียงห้องพัก พักผ่อนเพื่อเดินชมน้ำตกยิ่งใหญ่อีกแห่งที่ อุทยานแห่งชาติครึกคา “Krka National Park” ในพรุ่งนี้เช้า
DAY 4
Apr 16 2018
เช้าวันนี้หลังจากอิ่มอร่อยเติมพลังด้วยอาหารเช้าแล้ว เราก็ขึ้นรถบัสเดินทางต่อไปอุทยานแห่งชาติอีกแห่งซึ่งมีน้ำตกขนาดใหญ่ และมีจำนวนมากเดินทางเข้าสู่ อุทยานแห่งชาติครึกคา “Krka National Park” (ระยะทาง 12 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 20 นาที) จากโรงแรม แค่น้ำตกแรกก็รู้สึกว่าสวยงาม ยิ่งเดินเข้าไปเรื่อยๆ ก็มีลำธารที่เกิดจากการไหลของน้ำตก โดยมีทางเดินไม้ที่ทำไว้อย่างดี
อุทยานแห่งชาติครึกคา “Krka National Park” เป็นอุทยานแห่งชาติแห่งที่ 7 ของโครเอเชีย (Croatia)
เดินไปทางไหน ก็มี น้ำตก .. เสียดาย ไม่มี ลาบ ส้มตำ ข้าวเหนียว และเสื่อปูนั่งเล่น
เดินมาถึง มุมมหาชน แต่ซ่อนอยู่ทางเบี่ยงจากทางเดินหลัก ที่จะมองเห็นน้ำตกจากมุมสูงเป็นมุมกว้าง น้ำสีเขียวฟ้า เมื่อกระทบแสงยิ่งเพิ่มความสวยงาม มีอาคารหลังคาสีส้ม เพิ่มความสวยงามและโดดเด่น
เหตุผลหนึ่งที่เลือกเดินทางด้วยโปรแกรมนี้ เพราะไม่มีโปรแกรมใดเลย ที่จัดมายัง อุทยานแห่งชาติครึกคา “Krka National Park” ที่สำคัญเดินทางโดยบินเข้าทางเมืองซาเกร็บ (Zagreb) ซึ่งอยู่ทางเหนือ และเดินทางออกทางเมืองดูบรอพนิค (Dubrovnik) ซึ่งอยู่ทางใต้ ทำให้ไม่เสียเวลาเดินทางมาก โดยไม่ต้องนั่งรถย้อนกลับมาอีก
แต่ถือว่า "ห้ามพลาด" และมีความคล้ายคลึงกับ อุทยานแห่งชาติ จิ่วจ้ายโกว ผสมกับ หวงหลง อีกด้วย ถือเป็นน้ำตกขนาดใหญ่ ขนาดที่ว่าเราเดินสัมผัสแค่เพียงบางส่วน ก็รับรู้ถึงความยิ่งใหญ่
ออกเดินทางต่อไปยัง เมืองสปลิท (Split) (ระยะทาง 85 กิโลเมตรใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง)
เมืองสปลิท (Split) เมืองที่ใหญ่ที่สุดริมฝั่งทะเลเอเดรียติก “Adriatic Sea” เป็นศูนย์กลางการพาณิชย์ และการคมนาคมของแคว้นดัลเมเชีย (Dalmatia) เที่ยวชม เมืองสปริท (Split) เมืองใหญ่อันดับที่ 2 รองจากเมืองซาเกร็บ (Zagreb)
เดินเที่ยวไปเรื่อยๆ ในพระราชวังดิโอคลีเทียน “Diocletian’s Palace” ที่สร้างขึ้นในยุคโรมันโบราณ ชมสถาปัตยกรรมหรือลานกว้างที่มีเสาสไตล์โรมันเรียงรายภายในพระราชวัง ซึ่งประกอบด้วยไปด้วยทางเข้าหลัก “Golden Gate”
ห้องโถงกลาง “The Vestibul” ซึ่งมีทางเดินที่เชื่อมต่อสู่ห้องอื่นๆ ชมลานกว้างซึ่งล้อมไว้ด้วยเสาหินแกรนิต 3 ด้าน และเชื่อมต่อด้วยโค้งเสาที่ตกแต่งด้วยช่อดอกไม้สลักอย่างวิจิตรสวยงาม
อากาศดี แดดดี ยอมจ่าย 20 คูน่า และเดินขึ้นไปชมวิวบนหอระฆัง (Bell Tower) ดีกว่า แต่ทางเดินแคบๆ และส่วนใหญ่เป็นทางเดินเหล็ก น่าหวาดเสียว ทำให้นึกว่าคนสมัยก่อนสร้างได้ไง ทั้งสูง ทั้งเสียว
ค่าตั๋วหลักร้อย วิวหลักล้าน ถือว่าคุ้มสุดๆ และดีใจที่แดดดี ฟ้าสวย ลมแรงอีกต่างหาก
ไม่ผิดหวังเลยที่เดินขึ้นมาชมวิวสวยๆ บนหอคอยแห่งนี้
ขาขึ้นรู้สึกขาสั่นนิดๆ เพราะมองลงไปมันจะหวิวๆ เป็นเพราะบันไดเหล็ก ดูบอบบางไม่แนะนำอย่างยิ่งสำหรับใครที่กลัวความสูง และขาลงทำเอาขาสั่นได้เหมือนกัน คงเพราะลมแรงมากด้วย บวกกับความสูงของหอระฆังแห่งนี้
มองจากบนหอระฆัง ก็วางแผนการเดินไปในจุดที่ยังไม่ได้เดินในช่วงก่อนขึ้นไปบนหอ
เดินกลับไปยังจุดนัดพบ แต่ก็เติมความหวานด้วยไอศกรีมสักถ้วย ก่อนจะเดินทางต่อไปเมืองอื่น ซึ่งเราจะพักในคืนนี้
นั่งรถออกจากเมืองสปลิท (Split) ลัดเลาะชายฝั่ง ทะเลเอเดรียติก “Adriatic Sea” กันต่อสู่เมืองพลอค (Ploce) (ระยะทาง 53 กิโลเมตรใช้เวลาเดินทาง 1 ชั่วโมง) เป็นทางที่สวยตลอดทาง แถมความหวสดเสียว เพราะไม่มีเหล็กกั้นตามไหล่ทาง
เช็คอินเข้าโรงแรม Meteor Hotel ซึ่งติดทะเลเอเดรียติก “Adriatic Sea” ในเมืองมากาสการ์ (Makarska) หาดกรวดสีน่ำตาลอ่อน น้ำทะเลใสมาก แถมเค็มด้วย (แอบชิม)
หลังจากอิ่มอร่อยกับอาหารค่ำแบบบุฟเฟ่ต์ที่โรงแรมแล้ว ก็เดินเล่นในย่านเมืองเก่าของ เมืองมากาสการ์ (Makarska) เป็นเมืองที่สวยงาม เงียบสงบ น่ากลับมาเดินเล่นในพรุ่งนี้เช้า เพราะเดินจากโรงแรมเพียง 5 นาที เลาะมาตามทางเดินริมหาด
DAY 5
Apr 17 2018
เช้านี้ที่เมืองมากาสการ์ (Makarska) อากาศเย็นสบาย เบื้องหน้าเป็นท่าเรือเล็กๆ มีทิวเขาเป็นฉากหลังและเมืองเก่าเห็นวิถีชาวประมงตกปลา มีนกนางนวลบิ่นว่อน ส่งเสัยงร้อง ถือเป็นเมืองน่ารักเมืองหนึ่งเลยที่เดัยว
เดินทางจากโรงแรมลัดเลาะตามชายฝั่ง ทะเลเอเดรียติก “Adriatic Sea” กันต่อสู่เมืองพลอค (Ploce) เพื่อมารอนำรถบัสขึ้นเรือเฟอร์รี่ต่อไปยังเมืองออเรบิช (Orebić)
ล่องเรือไป ชมวิว 2 ข้างทางไป โต้ลมหนาวไป พอหนึ่งเพลินก็ใกล้ถึงฝั่ง เราก็ต้องขึเนรถบัสเพื่อแล่นออกจากท้าเรือและเดินทางไปเมืองออเรบิช (Orebić)
ใกล้ถึงฝั่งแล้ว มองเห็นเกลียวคลื่นสีฟ้า แปลกไม่เคยเห็นมาก่อน จากนั้นรีบขึ้นรถบัสและเดินทางกันต่อ ซึ้งยังต้องขึ้นเรือเล็กไปยังเกาะคอร์จูล่า (Korčula Island)
โดยสารเรือข้ามฟากสู่ เกาะคอร์จูล่า (Korčula Island) (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 20 นาที) เกาะในเขต ทะเลเอเดรียติก “Adratic Sea” ซึ่งของ โครเอเชีย (Croatia) เคยได้ฉายาว่า “ไข่มุกแห่งยุคกลาง”
เมืองนี้ยังเป็นเมืองบ้านเกิดของนักเดินเรือผู้ยิ่งใหญ่ มาร์โค โปโล (Marco Polo) หนึ่งในนักเดินทางที่มีชื่อเสียงที่สุดชาวอิตาเลียน
เข้าสู่ ย่านเมืองเก่าคอร์จูล่า “Old Town” ที่มีอิทธิพลจากเวเนเชี่ยนมาตั้งแต่ยุคศตวรรษที่ 15
เดินชมโบสถ์และมีหอระฆังแต่ไม่สูงนัก และเสียค่าขึ้นชม 25 คูนา แต่อยากแนะนำว่า หากฟ้าสวย ต้องไม่พลาดขึ้นไปหอระฆังที่เมือง Split จ่ายแค่ 20 คูนา แต่คุ้มค่าหลักล้านคูนาก็ว่าได้
มาถึงบ้านของนักเดินเรือผู้ยิ่งใหญ่ มาร์โค โปโล (Marco Polo) แต่กำลังอยู่ระหว่างซ่อมแซม
เดินเที่ยวชมเมืองเก่าแห่งนี้ไปเรื่อยๆ มีมุมสวยๆ มากมาย
เก็บภาพไปเรื่อยๆ ไว้ค่อยไปศึกษาหาข้อมูลภายหลัง เพราะทริปนี้แทบไม่ได้เตรียมตัวหรือศึกษาข่อมูลมาล่วงหน้ามากนัก แต่ยอมรับว่า โครเอเชีย สวย ดีเลิศ เกินความความหมาย
อดชื่นชมหรืออิจฉาที่เขายังรักษาบูรณะให้ยังคงสวยงามอยู่ดี และการล่องเรือข้ามฟากถือเป็ยเสน่ห์แทนการสร้างสะพานเชื่อม
นั่งเรือข้ามฟากกลับจากคอร์จูล่า (Korčula Island) เดินมาที่รถบัสเพื่อนดินทางต่อไปยัง หมู่บ้านโปทอมจี “Potomje Village” ชิมไวน์ของครอบครัวมาทัสโก้ “Matuško Wine Tasting” ซึ่งหมู่บ้านแห่งนี้ถือเป็นแหล่งผลิตไวน์ที่มีชื่อเสียงมาอย่างยาวนาน ด้วยสภาพภูมิประเทศที่ใกล้หุบเขาภูมิอากาศที่มีความเหมาะสม ทาให้ไวน์ที่นี่มีคุณภาพที่สุดในโครเอเชีย (Croatia) และโดยเฉพาะไวน์จาก ครอบครัวมาทัสโก้ “Matuško Family” ถือเป็นไวน์ที่มีชื่อเสียงมาอย่างยาวนาน
ได้ชิมไวน์แบบต่างๆ แกล้งกับชีสและขนมปัง เริ่มจากไวน์ขาวและแดงที่ 12% ไปจนถึง ไวน์หวานๆ และไวน์ 45% ที่ทำปวดหัวนิดๆ เมื่อผ่านไปซักพัก ที่แปลกคือ ไวน์จะผลิตจากองุ่นพันธุ์เตี้ย สูงจากพื้นไม่ถึงหนึ่งเมตร
เดินทางกันต่อสู่ เมืองดูบรอฟนิค (Dubrovnik) (ระยะทาง 94 กิโลเมตรใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง 40 นาที) ข้ามสะพานแขวนเข้าสู่เมืองนี้ ซึ่งเป็นเมืองที่อยู่ทางตอนใต้ของ ประเทศโครเอเชีย (Croatia) มีพรมแดนติดต่อกับประเทศบอสเนีย-เฮอร์เซโกวีน่า (Bosnia and Herzegovina)
หลังจากอิ่มอร่อยกับอาหารค่ำแบบบุฟเฟ่ต์ภายในโรงแรม ก็ถือโอกาสเดินย่อยอาหารไปที่บริเวณท่าเรือที่ห่างไปประมาณ 1 ก.ม. กะว่าจะมีร้านอาหาร และร้านค้าแต่ทว่าไม่มีเลย แต่พอเดินกลับมาข้างๆ โรงแรม กลับเจอร้านอาหาร ร้านนั่งดื่ม ร้านไอศกรีม เต็มไปหมด จึงถือเป็นการเดินสำรวจ และตั้งใจจะตื่นมาเดินเที่ยวถ่ายรูปในตอนเช้าก่อนรับประทานอาหารเช้าภายในโรงแรม
DAY 6
Apr 18 2018
เช้าวันใหม่ แดดดี ท้องฟ้าสดใส จึงถืแโอกาสเดินสำรวจไปไกลพอสมควรถือโอกาสเก็บภาพฟ้าสวย ไว้ดู แช๊ะ! บังเอิญร้านอาหารยังไม่เปิดในตอนเช้า เลยขอยืมเป็นองค์ประกอบภาพซะหน่อย
ไม่ผิดหวังเลยที่อุตส่าห์เดินมาไกล ได้เจอน้ำทะเลและฟ้าสีคราม ที่ไม่ได้มีโอกาสได้พบเจอบ่อยนัก ก่อนรีบเดินกลับไปรับประทานอาหารเช้า ก่อนออกเดินทางต่อในเช้าวันนี้
เช้านี้เราเดินทางต่อมายัง เมืองดูบรอฟนิค (Dubrovnik) เมืองชายฝั่งทะเลเอเดรียติก บรรยากาศริมชายฝั่งทะเลที่มีบ้านเรือนหลังคากระเบื้องสีแสดสลับตามแนวชายฝั่ง
เดินลอดประตู Pile Gate ซึ่งอยู่หน้าทางเข้าเมืองดูบรอฟนิค ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในเมืองเก่าที่สวยที่สุดในยุโรป สมญานาม "ไข่มุกแห่งทะเลเอเดรียติก" ด้วยความลงตัวของสถาปัตยกรรมและผังเมืองที่เป็นระเบียบ เป็นเมืองที่มีอำนาจทางทะเลตั้งแต่ศตวรรษที่ 13
ชมทัศนียภาพของตัวเมืองเก่ามีป้อมปราการโบราณความยาว 190 เมตรล้อมรอบ นำท่านเดินลอดประตู Pile Gate ที่มีรูปปั้นของนักบุญ เซนต์เบลส นักบุญประจำเมืองเพื่อเข้าสู่ใจกลางเมืองเก่า เจอกับ "น้ำพุ Onofrio" ซึ่งเป็นตั้งเป็นเกียรติแก่ของสถาปนิกผู้สร้างน้ำพุแห่งนี้
เข้ามาเที่ยวชมในบริเวณ The Cathedral Treasury หนึ่งในโบสถ์เก่าแก่ที่สะสมโบราณวัตถุของพ่อค้าวาณิชที่ได้ทำการค้าขายกับชาวเวนิชในอดีตภายในเมืองเก่า (Old Town) ของเมืองดูบลอฟนิค ซึ่งองค์การยูเนสโกได้ขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกในปี ค.ศ. 1979 และได้เห็นภาพธงชาติไทยที่ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงลงพระนามาภิไธย ครั้งที่เสด็จมาเมื่อวันที่ 12/04/2000
เข้ามาเที่ยวชมในบริเวณ The Cathedral Treasury หนึ่งในโบสถ์เก่าแก่ที่สะสมโบราณวัตถุของพ่อค้าวาณิชที่ได้ทำการค้าขายกับชาวเวนิชในอดีตภายในเมืองเก่า (Old Town) ของเมืองดูบลอฟนิค ซึ่งองค์การยูเนสโกได้ขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกในปี ค.ศ. 1979 และได้เห็นภาพธงชาติไทยที่ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงลงพระนามาภิไธย ครั้งที่เสด็จมาเมื่อวันที่ 12/04/2000
เดินผ่านถนนสตราดัน ถนนสายหลักยาวกว่า 398 เมตร ที่สองข้างทางรายล้อมไปด้วยอาคารสไตล์โรมัน โกธิค และร้านค้า ร้านกาแฟ ร้านไอศครีม ร้านขายของ เป็นเมืองที่มีอำนาจทางทะเลตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 และมีความเจริญรุ่งเรืองทางการค้า จึงได้สร้างความยิ่งใหญ่ให้โดดเด่น ด้วยการตกแต่งพระราชวัง สร้างโบสถ์ วิหาร จัตุรัส น้ำพุ และบ้านเรือนต่างๆ และได้รับการบูรณะและปรับเปลี่ยนอย่างงดงามตามยุคสมัย .. ถ่ายคู่กับหอนาฬิกาโบราณ (Bell Tower Clock)
เข้าชม พระราชวังเรคเตอร์ (Rector's Palace) พระราชวังที่สร้างขึ้นโดยผสมผสานศิลปะทั้งแบบโกธิค, เรเนซองส์และบาโร๊ค ได้แวะชมและถ่ายรูปกับ สปอนซา พาเลส (Sponza Palace) สร้างขึ้นโดยศิลปะแบบโกธิค เรเนซองส์ ในสมัยศตวรรษที่ 15 ปัจจุบันได้ใช้เป็นที่จัดเก็บเอกสารและสำนักงานส่วนราชการ
เดินเที่ยวชมโบสถ์มีความสวยงาม และเจอแมวอยู่ตามโบสถ์ต่างๆ อีกด้วย ... เมืองดูบรอฟนิค ยังมีประวัติศาสตร์เป็นเมืองพี่เมืองน้องกับ "เวนิซ" ในอิตาลี และ "สปลิต" เมืองเลียบทะเลเมดิเตอร์เรเนียนอีกเมืองของโครเอเชียในอดีต ดูบรอฟนิกมีความสำคัญทางการค้าอย่างมากในแถบเมดิเตอร์เรเนียน เคยเป็นเมืองที่มีอำนาจทางทะเลและควบคุมการค้าทางทะเลมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 เพราะมีบทบาทเป็นเมืองที่เชื่อมการค้าระหว่างฝั่งตะวันออกและตะวันตกของทะเลเอเดรียติก เรียกว่าเป็นเมืองศูนย์กลางของสาธารณรัฐก็ว่าได้
ในช่วงศตวรรษที่ 14-17 ดูบรอฟนิคจึงร่ำรวยมีเงินทองมากมายในการตกแต่งบ้านเมืองให้งดงาม รวมทั้งพระราชวัง โบสถ์ วิหารภาพงดงามของเมืองทุกวันนี้ ใครจะรู้ว่าในอดีตดูบรอฟนิกต้องผ่านเหตุการณ์ที่ได้รับความเสียหายอย่างหนักจากแผ่นดินไหวในศตวรรษที่ 4 บางส่วนของเมืองจมหายไปในทะเล หลังผ่านเหตุการณ์จากภัยธรรมชาติก็ต้องมาเจอภัยจากน้ำมือมนุษย์ เมื่อตกเป็นเป้าหมายโจมตีจากกองทหารยูโกสลาฟในปี ค.ศ. 1990 บ้านเรือนกว่าครึ่ง อนุสาวรีย์ต่างๆ ได้รับความเสียหาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งชีวิตของผู้คนที่สูญหายไปในกองเพลิงสงครามนับแสนคน เหลือไว้ก็แต่รายชื่อในพิพิธภัณฑ์
ตัวเมืองเก่ามีป้อมปราการโบราณความยาว 190 เมตรล้อมรอบ ในตัวเมืองดูบรอฟนิค เต็มไปด้วยสถาปัตยกรรม ทั้งโกธิก เรอเนสซองส์ และบาร็อค บรรยากาศสงบ เย็นสบาย ไม่ร้อนไม่หนาวเกินไป เพราะมีภูมิอากาศเป็นแบบเมดิเตอร์เรเนียน อุณหภูมิระหว่างปีของเมืองนี้เฉลี่ยอยู่ที่ 17 องศา ไม่หนาวไม่ร้อน ในหน้าหนาวอากาศประมาณ 10 องศา อาจมีฝนตก แต่หิมะไม่มีบ่อยนัก ดูบรอฟนิกจึงกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวของชาวยุโรปจำนวนมาก แต่เดี๋ยวนี้คนเอเชียเริ่มที่จะไปเที่ยวมากขึ้น
หากใครที่ชม Netflix ซีรีส์เรื่อง Game of Thrones น่าจะทราบว่าใช้เมืองเก่า Dubrovnik แห่งนี้เป็นสถานที่ในการถ่ายทำ .. ได้เวลาอาหารกลางวันเมนูปลากับไวน์เลิศรส อิ่มอร่อย เติมแรงสำหรับบ่ายวันนี้
บ่ายนี้เราเลือกขึ้นกระเช้า บัตรไป-กลับในราคา 20 ยูโร (140 คูนา) เพื่อไปชมวิวจากมุมสูง แทนการเดินบนกำแพงเมือง และขอบอกว่า ตัดสินใจไม่ผิดจริงๆ และห้ามพลาดจากประการทั้งปวงหากมาเที่ยวเมืองนี้ เป็นความประทับใจ และเราสามารถใช้กล้องซูมจากมุมสูงได้
ถือโอกาสใช้พลังซูมจากกล้องตัวเล็กๆ กับพลังซูม 1440mm ดึงภาพมาใกล้ๆ อยู่ตรงหน้า ถือโอกาสถ่ายภาพคู่กับเมืองดูบรอฟนิค ที่ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในเมืองเก่าที่สวยที่สุดในยุโรป สมญานาม "ไข่มุกแห่งทะเลเอเดรียติก"
หลังจากลงจากกระเช้าแล้ว พอมีเวลาอยู่ จึงไปเดินเก็บตกในบริเวณที่ยังไม่ได้ไปในช่วงเช้า ซึ่งได้พบโบสถ์สวยๆ เพิ่มอีก 2 แห่ง ก่อนรีบเดินมายังจุดนัดพบ เพื่อเดินทางไปเมือง Cavtat ก่อนไปสนามบิน
ทางคนขับรถพามาแวะที่เมืองเล็กๆ ชื่อ Cavtat ซึ่งห่างจากสนามบิน Dubrovnik เพียง 5 ก.ม เนื่องจากยังพอมีเวลาก่อนเช็คอินในเวลา 19:00 น.
ถือเป็นเมืองน่ารัก สวยงาม และทานไอศกรีมรสเสาวรส (Passion Fruit) ในราคา 8 คูนา เป็นการละลายเงินคูนาได้อย่างดี
ซึ่งดำเนินการเช็คอิน, โหลดกระเป่า, ผ่าน ต.ม. เรียบร้อย มารอที่หน้าประตูขึ้นเครื่อง แต่พอถึงเวลา Boarding ก็ยังไม่มีเจ้าหน้าที่มา จนกระทั่งมีการประกาศยกเลิกเที่ยวบิน !!! จึงต้องผ่าน ต.ม. เข้าประเทศโครเอเชียอีกครั้ง มารับกระเป๋าที่สายพาน แล้วไปเจรจาประสานการเปลี่ยนเที่ยวบิน ซึ่งตามแผนจะเปลี่ยนไปบินในเวลาเช้า 9:20 น. และไปถึงสนามบินที่เมืองอิสตันบูล ราวก่อนเที่ยง และต้องรอบินราว 2 ทุ่ม เพื่อกลับมาไทย ส่วนคืนนี้ ทางสายการบิน TK จัดรถบัสมารับไปโรงแรมในตัวเมือง Dubrovnik
กว่าจะถึงโรงแรม Valamar Tirena Hotel, Dubrovnik ก็เวลาเที่ยงคืน และรถบัสจะมารับไปสนามบินในเวลา 6:00 น ในพรุ่งนี้เช้า ระหว่างรอรถบัส ก็ชวนน้องแมวถ่าย Selfie ทั้งแลบลิ้น และทำหน้าตาตกใจที่เห็นตัวเองในหน้าจอมือถือ หน้าหวอมาก .. เมื่อรถบัสมาถึงก็รีบขึ้นรถและนั่งผ่านเมืองเก่า Dubrovnik อีกรอบในยามเช้า
DAY 7
Apr 19 2018
แต่ก็ยังเกิดปัญหาที่กรุ๊ปเรามีกัน 26 คน แต่สามารถเดินทางได้แค่ 22 ที่นั่ง นั่นหมายถึงต้องขอผู้เสียสละบินในช่วงเย็น ซึ่งก็ไม่มีใครยอม เราจึงยกมือเริ่มก่อน และชวนเพื่อนทีมาเดี่ยวอีกคน ซึ่งก็ตอบตกลง จากนั้นก็เลยชวนเพื่อนน้องสะใภ้ที่มากับสามี ก็เลยครบ 4 คน เพราะคิดดูแล้ว ก็สามารถไปเที่ยวที่เมืองน่ารัก Cavtat รอขึ้นเครื่องเวลา 21:20 น. และทางสายการบินก็จัดรถและเปิดโรงแรมให้พักผ่อน พร้อมอาหารเช้า เราเลยสอบถามทางโรงแรมว่ามี Taxi หรือไม่? เพื่อโดยสารไป-กลับ เมือง Cavtat ซึ่งเจ้าของโรงแรมอาสาพาไปในราคา 20 ยูโร ควบ BMW X3 พาไปส่งฟ้าสวยแบบนี้จะให้นั่งๆ นอนๆ รอขึ้นเครื่องที่โรงแรมได้ไง? มันต้องมารับลมทะเล อาบแดดกันหน่อยถึงจะถูก
เริ่มจากไอศกรีมเย็นๆ ก่อนเริ่มเดินเล่นกัน ฟ้าสวย น้ำทะเลสีคราม แบบนี้เหมือนได้แถมฟรีอีก 1 วันเต็ม
เดินไป ถ่ายรูปไป แบบไม่เร่งรีบ ทำให้ใช้งานกล้องได้อย่างเต็มที่ ตั้งขาตั้ง Tripod เพื่อซูมสุด 1440mm ไปที่เมืองเก่า Dubrovnik ได้อย่างสวยงาม หากนั่งเรือไปกลับในราคา 100 คูนา หรือ นั่งรถไประยะทาง 12 ก.ม. คิดแล้วเมื่อวานเราเที่ยวครบแล้ว สู้เที่ยวทีเมืองนี้ไม่ได้
ไหนๆ ก็โดยเท .. นั่งมองดูทะเลวนๆ ไป ไหนๆ ฟ้าสวยเป็นใจขนาดนี้ ไม่ได้จะเจอกันบ่อยๆ ในบ้านเรา
ได้เวลาอาหารเที่ยง เราสี่คนก็สั่งอาหาร พร้อมเครื่องดื่มกัน ทานไป พูดคุยกันไป
หลังจากอิ่มอร่อยกันแล้ว ก็เดินมาเที่ยวชมโบสถ์ และเดินเที่ยวขึ้นไปเนินเขา ถือโอกาสเก็บภาพเมืองนี้จากมุมสูงบ้าง
นั่งๆ เดินๆ ยอมรับว่า เป็นวันที่ชิลสุดๆ ในรอบปีนี้ เหมือนไม่มีอะไรทำ แค่รอเวลา แต่ก็ไม่สามารถอยู่เฉยๆ เดินไปแทบจะทั่วเมือง Cavtat แห่งนี้
พอถึงราว 4 โมงครึ่ง ก็ได้เวลาอาหารเย็นแบบเบาๆ ด้วยหอยนางลม (Oyster) คนละ 6 ตัว และไวน์ขาวรสนุ่ม ก่อนถึงเวลานัดที่เจ้าของโรงแรมจะมารับเวลา 18:00 น. และเปลี่ยนมารับด้วย BMW Series 5 เอ่อ! ดีจัง
หลังจากมาถึงโรงแรมแล้ว รถตู้มารับพาไปสนามบินเวลา 19:30 น. ผ่านขั้นตอนต่างๆ จนกระทั่งบินมาถึง ท่าอากาศยานนานาชาติอาตาตุร์ “Ataturk International Airport” ณ เมืองอิสตันบูล (Istanbul) รีบวิ่งต่อมาเปลี่ยนเที่ยวบิน TK68 เพื่อกลับมาเมืองไทย
ขอที่นั่งริมหน้าต่างและได้ที่นั่งหลังสุด 38K และที่นั่งข้างก็ว่าง จึงหลับยาว 6 ชั่วโมง ก่อนถูกปลุกให้รับประทานอาหารเช้า 2 ชั่วโมงก่อนถึงท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ “Suvarnabhumi International Airport” กรุงเทพฯ (Bangkok) โดยสวัสดิภาพและปิดทริปด้วยความสุข ความประทับใจในประเทศโครเอเชีย ที่งดงามทั้งสถาปัตยกรรมและธรรมชาติ อีกทั้งบ้านเมืองสะอาด ผู้คนอัธยาศัยดี หากมีโอกาสจะกลับมาเยือนอีก ... จบบริบูรณ์
Camera : Samsung Galaxy S7/S6, Lumix TZ90